แม่ทัพภาคที่ 2 ได้รับมอบโดรนลาดตระเวน

โดรนลาดตระเวน

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 พล.ท. บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้รับมอบ โดรนลาดตระเวน และอุปกรณ์ที่จำเป็นอื่น ๆ จาก มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน โดยมีนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นตัวแทนในการส่งมอบ

อุปกรณ์เหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อนำไปใช้สนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของทหารที่ประจำการอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมสนับสนุน โดยระบุว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลาดตระเวนและการป้องกันชายแดนในสถานการณ์ปัจจุบัน

ที่มา: https://www.facebook.com/share/p/19mwtKkjeM/

ระบบต่อต้านโดรน (Anti-Drone Systems)

ระบบต่อต้านโดรน (Anti-Drone Systems)

ระบบต่อต้านโดรน (Anti-Drone Systems) ในยุคที่โดรนกลายเป็นเครื่องมือสำคัญทั้งในภาคพลเรือนและการทหาร การเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากโดรนที่ไม่หวังดีจึงกลายเป็นความท้าทายใหม่ที่สำคัญ ระบบต่อต้านโดรน หรือ Counter-Unmanned Aerial System (C-UAS) จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการในการตรวจจับ, ติดตาม, และทำลายโดรนที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่หวงห้าม

ระบบต่อต้านโดรนไม่ได้มีเพียงวิธีเดียว แต่ประกอบด้วยเทคโนโลยีหลากหลายที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างการป้องกันที่ครอบคลุม


1. เทคโนโลยีการตรวจจับ (Detection)

ก่อนที่จะทำลายได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการตรวจจับโดรนให้ได้ก่อน ระบบตรวจจับสามารถทำได้หลายวิธี:

  • เรดาร์ (Radar): เรดาร์แบบดั้งเดิมอาจไม่เหมาะกับการตรวจจับโดรนขนาดเล็ก แต่มีการพัฒนาเรดาร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อตรวจจับวัตถุขนาดเล็กที่บินช้าและต่ำ
  • เซนเซอร์คลื่นวิทยุ (RF Sensors): เป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เซนเซอร์จะตรวจจับสัญญาณวิทยุที่ใช้ในการควบคุมโดรนและสัญญาณวิดีโอจากกล้องของโดรน ทำให้สามารถระบุตำแหน่งและชนิดของโดรนได้
  • กล้อง (Cameras): ทั้งกล้องปกติและกล้องจับความร้อน (Thermal Cameras) ถูกนำมาใช้ในการติดตามโดรนอย่างใกล้ชิดหลังจากตรวจจับเบื้องต้นได้
  • เซนเซอร์เสียง (Acoustic Sensors): ระบบนี้จะตรวจจับเสียงของใบพัดโดรนและวิเคราะห์เพื่อระบุตำแหน่งของโดรน

2. เทคโนโลยีการโจมตี/ทำลาย (Neutralization)

เมื่อตรวจจับโดรนได้แล้ว ระบบจะเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการทำลายหรือหยุดการทำงานของโดรน ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายประเภท:

  • สงครามอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Warfare): เป็นวิธีที่นิยมที่สุดและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายทางกายภาพ
    • เครื่องรบกวนสัญญาณ (Jammers): จะส่งสัญญาณวิทยุที่แรงกว่าสัญญาณควบคุมของโดรน ทำให้ผู้ควบคุมไม่สามารถบังคับโดรนได้และทำให้โดรนตกหรือกลับไปยังจุดเริ่มต้น
    • เครื่องหลอกสัญญาณ (Spoofers): จะส่งสัญญาณ GPS ปลอมไปยังโดรน ทำให้โดรนเข้าใจผิดว่าตำแหน่งของมันอยู่ที่อื่น
  • การโจมตีแบบจลน์ (Kinetic Attack): เป็นวิธีที่ก่อให้เกิดความเสียหายทางกายภาพ
    • ปืนไรเฟิลต่อต้านโดรน: เป็นอาวุธที่ใช้ยิงโดรนโดยตรง
    • ตาข่ายดักจับ: อุปกรณ์ยิงตาข่ายเพื่อดักจับโดรนโดยไม่ทำลาย
    • โดรนสกัดกั้น (Interceptor Drones): โดรนอีกตัวที่ถูกส่งขึ้นไปเพื่อพุ่งชนหรือปล่อยตาข่ายดักจับโดรนเป้าหมาย
  • อาวุธพลังงานสูง (High-Energy Weapons):
    • เลเซอร์: เลเซอร์ที่มีกำลังสูงสามารถเผาไหม้และทำลายโดรนได้ในระยะไกล เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงแต่มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้พลังงานมาก
    • คลื่นไมโครเวฟพลังงานสูง: สามารถใช้เพื่อทำลายวงจรอิเล็กทรอนิกส์ภายในของโดรน ทำให้โดรนหยุดทำงาน

การประยุกต์ใช้ในโลกจริง

ระบบต่อต้านโดรนมีการนำไปใช้ในหลายบริบท:

  • ภาคการทหาร: ในพื้นที่ความขัดแย้ง ระบบ C-UAS ถูกใช้เพื่อป้องกันฐานทัพ, โรงงานผลิตอาวุธ, และหน่วยกำลังพลจากโดรนสอดแนมหรือโดรนพลีชีพ
  • ภาคพลเรือน: สนามบินใช้ระบบต่อต้านโดรนเพื่อป้องกันการรุกล้ำของโดรนที่อาจเป็นอันตรายต่อเครื่องบิน, หน่วยงานรัฐบาลใช้เพื่อป้องกันอาคารสำคัญ, และใช้ในการรักษาความปลอดภัยของงานอีเวนต์ขนาดใหญ่ เช่น การประชุมสุดยอดผู้นำหรือการแข่งขันกีฬา

ความท้าทายและอนาคต

แม้ว่าระบบต่อต้านโดรนจะได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีความท้าทายอยู่มาก เช่น:

  • โดรนมีขนาดเล็กลงและเร็วขึ้น: ทำให้ตรวจจับได้ยากขึ้น
  • กฎหมายและข้อบังคับ: การใช้ระบบรบกวนสัญญาณวิทยุอาจส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์สื่อสารอื่น ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงได้
  • โดรน AI: โดรนในอนาคตอาจทำงานโดยไม่ต้องพึ่งพาสัญญาณวิทยุจากมนุษย์ ทำให้ระบบรบกวนสัญญาณแบบเดิมใช้ไม่ได้ผล

ดังนั้น อนาคตของระบบต่อต้านโดรนจะมุ่งเน้นไปที่การทำงานร่วมกันของหลายเทคโนโลยี (Multi-layered defense) และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจในการตอบโต้ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง

สงครามโดรนเต็มรูปแบบ (Full-Scale Drone Warfare)

สงครามโดรนเต็มรูปแบบ (Full-Scale Drone Warfare)

สงครามในศตวรรษที่ 21 กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เน้นการเผชิญหน้ากันด้วยกองกำลังขนาดใหญ่บนสนามรบ สู่ยุคใหม่ที่ “โดรน” หรืออากาศยานไร้คนขับ (UAV) กลายเป็นหัวใจสำคัญของปฏิบัติการทางทหาร การใช้โดรนในระดับที่เรียกว่า “สงครามโดรนเต็มรูปแบบ” (Full-Scale Drone Warfare) ไม่ใช่เพียงแค่การใช้โดรนเป็นเครื่องมือเสริมอีกต่อไป แต่เป็นการที่โดรนเข้ามาเป็นกำลังหลักในการรบทุกมิติ

สงครามในยูเครนและสถานการณ์ความขัดแย้งอื่น ๆ ได้กลายเป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสงครามโดรนอย่างชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากสงครามยุคก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง


ลักษณะสำคัญของสงครามโดรนเต็มรูปแบบ

  1. การใช้งานในทุกภารกิจ: สงครามโดรนไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสอดแนมหรือโจมตีทางอากาศอีกต่อไป แต่ครอบคลุมทุกภารกิจ ตั้งแต่:
    • การสอดแนมและข่าวกรอง: โดรนสามารถบินในพื้นที่อันตรายเพื่อเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
    • การโจมตี: ทั้งโดรนติดอาวุธ โดรนพลีชีพ (Kamikaze drones) และโดรนขนาดเล็กราคาถูกที่ใช้โจมตีเป้าหมายภาคพื้นดิน
    • การสนับสนุนกำลังพล: ใช้โดรนลำเลียงเสบียง ยา อาหาร และกระสุนไปยังแนวหน้า
    • สงครามอิเล็กทรอนิกส์: ใช้โดรนเพื่อรบกวนสัญญาณวิทยุและระบบควบคุมของศัตรู
    • การป้องกัน: ใช้โดรนเพื่อตรวจจับและทำลายโดรนของฝ่ายตรงข้าม
  2. การโจมตีแบบฝูง (Drone Swarms): แทนที่จะใช้โดรนเพียงลำเดียว การโจมตีแบบฝูงคือการปล่อยโดรนจำนวนมหาศาล (อาจถึงหลักพันลำ) ให้โจมตีเป้าหมายพร้อมกัน เพื่อสร้างความสับสนและทำลายระบบป้องกันภัยทางอากาศของศัตรูที่มักจะมีราคาแพงกว่าโดรนเหล่านั้นหลายเท่าตัว ทำให้ฝ่ายป้องกันไม่คุ้มค่าที่จะใช้อาวุธราคาแพงเพื่อยิงโดรนราคาถูกทิ้ง
  3. บทบาทของโดรนราคาถูกและเชิงพาณิชย์: สงครามโดรนเต็มรูปแบบไม่ได้ใช้แค่โดรนทางการทหารที่ซับซ้อนและมีราคาสูงเท่านั้น แต่ยังรวมถึง โดรนเชิงพาณิชย์ราคาหลักพันบาท ที่นำมาดัดแปลงติดระเบิดหรือใช้เป็นโดรนพลีชีพ ซึ่งทำให้กองทัพขนาดเล็กหรือแม้แต่องค์กรที่ไม่ใช่รัฐก็สามารถเข้าถึงอำนาจการโจมตีทางอากาศได้
  4. AI และระบบอัตโนมัติ: ในอนาคต โดรนจะถูกขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) มากขึ้น ทำให้สามารถปฏิบัติการได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องพึ่งพาการควบคุมจากมนุษย์ตลอดเวลา สามารถวิเคราะห์ภาพ ระบุเป้าหมาย และตัดสินใจโจมตีได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการรบให้สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ความท้าทายและผลกระทบ

การเกิดขึ้นของสงครามโดรนเต็มรูปแบบนำมาซึ่งความท้าทายและผลกระทบสำคัญหลายประการ:

  • ภัยคุกคามใหม่ต่อกำลังพล: ทหารในแนวหน้าต้องเผชิญกับภัยคุกคามทางอากาศตลอดเวลาจากโดรนราคาถูก ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธีและสร้างระบบป้องกันโดรนที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การใช้ปืนต่อต้านอากาศยานแบบเคลื่อนที่ หรือแม้แต่ตาข่ายดักจับโดรน
  • ความไม่สมดุลของอำนาจ: โดรนราคาถูกทำให้ประเทศที่มีงบประมาณทางการทหารน้อยสามารถท้าทายกองทัพที่มีเทคโนโลยีสูงได้ ซึ่งอาจทำให้ความขัดแย้งขยายวงกว้างขึ้น
  • คำถามทางจริยธรรมและกฎหมาย: การใช้โดรนสังหารที่ควบคุมโดย AI ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า ใครควรรับผิดชอบหากเกิดข้อผิดพลาดหรือมีการโจมตีพลเรือนโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนี้ยังอาจนำไปสู่การขาดความรับผิดชอบในการตัดสินใจปลิดชีวิตผู้อื่นในสมรภูมิ
  • การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างกองทัพ: กองทัพทั่วโลกต้องปรับตัวและพัฒนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านโดรนโดยเฉพาะ รวมถึงการจัดตั้งหน่วยรบโดรนขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามในรูปแบบใหม่

อนาคตของสงคราม

สงครามโดรนเต็มรูปแบบไม่ใช่แนวคิดในโลกอนาคตอีกต่อไป แต่มันกำลังเกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน และจะเป็นหัวใจหลักของการรบในอนาคตอันใกล้นี้ การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้าน AI, ระบบฝูงโดรน, และโดรนจิ๋ว (Micro-drones) จะทำให้สงครามในอนาคตกลายเป็นเรื่องของหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมากขึ้น ซึ่งจะท้าทายยุทธศาสตร์การรบแบบดั้งเดิม และสร้างคำถามใหม่ ๆ ที่โลกยังไม่มีคำตอบ

ราคาโดรน

ราคาโดรน

ราคาโดรน: คู่มือฉบับย่อเพื่อการเลือกซื้อโดรนที่ใช่

การเลือกซื้อโดรนในปัจจุบันมีตัวเลือกที่หลากหลายมาก ตั้งแต่โดรนสำหรับมือใหม่ไปจนถึงโดรนระดับมืออาชีพ ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีราคาและฟังก์ชันที่แตกต่างกันไป บทความนี้จะสรุปราคาโดรนรุ่นยอดนิยมเพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น


ราคาโดรนเริ่มต้นสำหรับมือใหม่ (ราคาไม่เกิน 20,000 บาท)

โดรนกลุ่มนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นทดลองบิน หรือใช้ถ่ายภาพและวิดีโอเบื้องต้นเพื่อความสนุกสนาน โดยมีจุดเด่นคือใช้งานง่าย พกพาสะดวก และมีราคาที่เข้าถึงได้

  • DJI Mini Series (เช่น Mini 4K, Mini 2 SE): เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับมือใหม่ ด้วยน้ำหนักที่เบา (น้อยกว่า 250 กรัม) ทำให้ไม่ต้องลงทะเบียน เหมาะสำหรับการพกพาไปท่องเที่ยว ราคาเริ่มต้นประมาณ 9,990 – 15,000 บาท
  • DJI Tello: โดรนขนาดเล็กกะทัดรัด เหมาะสำหรับเรียนรู้การบินเบื้องต้น ราคาประมาณ 4,000 บาท
  • DJI NEO: โดรนรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาสำหรับมือใหม่โดยเฉพาะ มีระบบกันชนรอบตัว ทำให้บินได้อย่างมั่นใจ ราคาเริ่มต้นประมาณ 6,600 บาท

ราคาโดรนระดับกลาง (ราคา 20,000 – 50,000 บาท)

โดรนกลุ่มนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีทักษะการบินระดับหนึ่ง และต้องการคุณภาพของภาพและวิดีโอที่ดีขึ้น รวมถึงฟังก์ชันการบินที่หลากหลายกว่าเดิม

  • DJI Mini 4 Pro: โดรนขนาดเล็กแต่มาพร้อมฟังก์ชันระดับโปร เช่น กล้อง 4K/HDR และระบบเซ็นเซอร์กันชนรอบทิศทาง ราคาเริ่มต้นประมาณ 25,690 – 37,390 บาท
  • DJI Air 3: โดรนที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาอีกระดับ มาพร้อมกล้องสองตัว (เลนส์ Wide และ Tele) บินได้นาน และมีระบบส่งสัญญาณที่เสถียร ราคาเริ่มต้นประมาณ 34,990 – 48,490 บาท

ราคาโดรนระดับมืออาชีพ (ราคา 50,000 บาทขึ้นไป)

โดรนกลุ่มนี้เหมาะสำหรับช่างภาพ ช่างวิดีโอ หรือผู้ที่ทำงานในวงการสร้างสรรค์ที่ต้องการคุณภาพสูงสุด มีความสามารถในการบินที่เหนือกว่า และฟังก์ชันพิเศษเฉพาะทาง

  • DJI Mavic 3 Series (เช่น Mavic 3 Classic, Mavic 3 Pro): โดรนเรือธงที่ให้คุณภาพภาพและวิดีโอระดับภาพยนตร์ด้วยกล้อง Hasselblad บินได้นาน และมีระบบตรวจจับสิ่งกีดขวางที่ซับซ้อน ราคาเริ่มต้นที่ 43,390 บาท สำหรับรุ่น Classic และอาจสูงถึง 100,000 บาท ขึ้นไปสำหรับรุ่น Pro หรือ Cine Premium Combo
  • DJI Avata 2: โดรนสำหรับสาย FPV (First-Person View) ที่ให้ประสบการณ์การบินแบบเสมือนจริง มาพร้อมกับแว่นตา DJI Goggles ราคาเริ่มต้นประมาณ 29,900 – 34,600 บาท

ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาโดรน

ราคาโดรนไม่ได้ขึ้นอยู่กับรุ่นอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาประกอบด้วย เช่น:

  • คุณภาพกล้อง: ยิ่งความละเอียดสูง (4K, 5.1K) หรือใช้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ ราคาก็จะสูงขึ้น
  • ฟังก์ชันการบิน: ระบบกันชนรอบทิศทาง, โหมดการบินอัจฉริยะ, ระบบติดตามวัตถุ
  • อุปกรณ์เสริม: ชุดคอมโบ (Combo Set) มักจะมาพร้อมกับแบตเตอรี่สำรอง, กระเป๋า, และอุปกรณ์อื่น ๆ ซึ่งมีราคาสูงกว่าการซื้อเฉพาะตัวโดรน

การเลือกซื้อโดรนที่ดีที่สุดจึงไม่ใช่แค่การมองหารุ่นที่แพงที่สุด แต่เป็นการเลือกรุ่นที่ตอบโจทย์การใช้งานและงบประมาณของคุณมากที่สุด

โดรนสอดแนมจิ๋ว (Nano Drones)

โดรนสอดแนมจิ๋ว (Nano Drones)

โดรนสอดแนมจิ๋ว (Nano Drones): นวัตกรรมจิ๋วพลิกโลกการสอดแนม

ในโลกแห่งเทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ‘โดรนสอดแนมจิ๋ว‘ หรือ ‘Nano Drones‘ ได้กลายเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่น่าจับตามองมากที่สุด โดรนขนาดเล็กจิ๋วนี้ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนวิธีการทำงานด้านการสอดแนมและการลาดตระเวนทางทหารเท่านั้น แต่ยังมีศักยภาพที่จะนำไปใช้ในงานพลเรือนได้หลากหลายรูปแบบอีกด้วย บทความนี้จะพาไปสำรวจโลกของ Nano Drones ตั้งแต่คุณสมบัติเด่นไปจนถึงความท้าทายในอนาคต

Nano Drones คืออะไร?

Nano Drones คืออากาศยานไร้คนขับ (UAV) ที่มีขนาดเล็กมากจนแทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า โดยทั่วไปแล้วจะมีขนาดไม่เกินฝ่ามือหรือบางรุ่นอาจมีขนาดเท่ากับแมลงจริง ๆ เลยทีเดียว แม้จะมีขนาดเล็กจิ๋ว แต่ Nano Drones ก็เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว กล้องความละเอียดสูง หรือแม้กระทั่งระบบนำทางแบบอัตโนมัติ

คุณสมบัติเด่นของ Nano Drones

  • ขนาดเล็กและน้ำหนักเบา: ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของ Nano Drones คือขนาดที่เล็กและน้ำหนักที่เบามาก ทำให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ยากลำบากได้ เช่น ภายในอาคาร, ท่อระบายน้ำ หรือแม้กระทั่งบินผ่านช่องหน้าต่างเล็ก ๆ ได้อย่างง่ายดาย
  • ซ่อนเร้นและไร้เสียง: โดรนเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้ทำงานได้อย่างเงียบเชียบ ทำให้เหมาะสำหรับการปฏิบัติภารกิจสอดแนมที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ตัว
  • ความสามารถในการบิน: แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ Nano Drones ก็มีความสามารถในการบินที่โดดเด่น สามารถบินได้ในที่แคบและซับซ้อน สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางได้อย่างชาญฉลาด และบางรุ่นยังสามารถบินเกาะติดกับวัตถุได้อีกด้วย
  • ติดตั้งเทคโนโลยีขั้นสูง: Nano Drones รุ่นใหม่ ๆ มักจะมาพร้อมกับกล้องวิดีโอคุณภาพสูง, กล้องตรวจจับความร้อน, ระบบ GPS, และเซนเซอร์อื่น ๆ ที่ช่วยให้การเก็บข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้งาน Nano Drones

เดิมที Nano Drones ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหารและการข่าวกรองเป็นหลัก เช่น

  • การสอดแนมและลาดตระเวน: ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับศัตรูในพื้นที่อันตราย
  • การประเมินสถานการณ์: ช่วยให้ผู้บัญชาการสามารถมองเห็นภาพรวมของสนามรบได้อย่างชัดเจน
  • การค้นหาและกู้ภัย: ใช้ในการค้นหาผู้รอดชีวิตในพื้นที่ภัยพิบัติที่ยานพาหนะขนาดใหญ่เข้าถึงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ศักยภาพของ Nano Drones ยังสามารถขยายไปสู่การใช้งานในภาคพลเรือนได้อีกมากมาย เช่น

  • การตรวจสอบโครงสร้าง: ใช้ในการสำรวจความเสียหายของสะพาน, อาคาร หรือโครงสร้างขนาดใหญ่โดยไม่ต้องใช้แรงงานคน
  • การสำรวจธรรมชาติ: ใช้ในการติดตามพฤติกรรมสัตว์ป่าในพื้นที่ป่าทึบโดยไม่รบกวนระบบนิเวศ
  • การเกษตรกรรม: ใช้ในการตรวจสอบสุขภาพพืชผลทางการเกษตรได้อย่างละเอียดและแม่นยำ

ความท้าทายและข้อจำกัด

แม้ว่า Nano Drones จะมีข้อได้เปรียบมากมาย แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ

  • แหล่งพลังงาน: แบตเตอรี่เป็นข้อจำกัดหลักของ Nano Drones ส่วนใหญ่ เนื่องจากขนาดที่เล็กจึงทำให้มีระยะเวลาการบินที่สั้น
  • การควบคุมและการนำทาง: การควบคุมโดรนขนาดเล็กให้บินได้อย่างแม่นยำในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทาย
  • ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว: ด้วยความสามารถในการสอดแนมที่สูงมาก ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การแอบถ่ายหรือการละเมิดความเป็นส่วนตัว

อนาคตของ Nano Drones

อนาคตของ Nano Drones ยังคงสดใสและมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปอีกไกล นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรกำลังพยายามแก้ไขปัญหาด้านแบตเตอรี่และระบบนำทาง เพื่อให้ Nano Drones มีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถทำงานได้ยาวนานขึ้น คาดการณ์ว่าในอนาคตเราจะได้เห็น Nano Drones ที่สามารถรวมตัวกันเป็นฝูง (swarm) เพื่อปฏิบัติภารกิจที่ซับซ้อนมากขึ้น และมีศักยภาพในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานในหลากหลายอุตสาหกรรม

บทสรุป

Nano Drones คือนวัตกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นเพียงอุปกรณ์ขนาดเล็กจิ๋ว แต่ก็มีศักยภาพที่จะสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ทั้งในแง่ของการทหาร, การสำรวจ, และการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน การพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะทำให้ Nano Drones กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในโลกยุคดิจิทัลได้อย่างแน่นอน

โดรนเขมรบุกไทย!

โดรนเขมรบุกไทย!

โดรนเขมรบุกไทย! เรื่องโดรนจากกัมพูชาบินเข้ามาในไทยนั้นเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตัวและคำถามมากมายในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอและข้อมูลบนโซเชียลมีเดียที่อ้างว่ามีการจับภาพโดรนลักษณะคล้ายโดรนทหารของกัมพูชาบินรุกล้ำน่านฟ้าไทยบริเวณชายแดน

ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ

ตามข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคงของไทย ได้แก่ กองทัพบกและกองทัพอากาศ มีการยืนยันว่ามีการตรวจพบวัตถุบินที่ไม่ระบุสัญชาติหลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าวัตถุดังกล่าวเป็นโดรนจากประเทศกัมพูชาโดยตรง การลาดตระเวนด้วยโดรนถือเป็นเรื่องปกติที่ประเทศต่างๆ ใช้ในการสอดแนมหรือสำรวจชายแดน ดังนั้น การปรากฏของโดรนจึงไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่เสียทีเดียว

ในเดือนพฤศจิกายน 2565 ได้เกิดเหตุการณ์ที่มีการรายงานว่าพบโดรนของกัมพูชาบินเข้ามาในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นเขตชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้หน่วยงานความมั่นคงของไทยต้องส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นไปตรวจสอบและเตือนให้โดรนกลับออกไป เหตุการณ์นี้สร้างความกังวลให้แก่ประชาชนและฝ่ายความมั่นคงของไทยอย่างมาก และยังเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันในรัฐสภาอีกด้วย


ความกังวลและความเสี่ยง

การรุกล้ำน่านฟ้าของโดรนไม่ว่าจะเป็นโดรนเพื่อการทหารหรือโดรนเพื่อการพาณิชย์ก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายและอาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากโดรนนั้นถูกใช้เพื่อสอดแนมเก็บข้อมูลทางทหารที่สำคัญ หรืออาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการก่อวินาศกรรม

การรับมือของไทย

กองทัพไทยได้มีการเตรียมพร้อมและเพิ่มมาตรการในการป้องกันการรุกล้ำของโดรนอยู่เสมอ โดยมีการใช้เทคโนโลยีตรวจจับโดรนและระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ทันสมัยมากขึ้น รวมถึงการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังมีการหารือกับฝ่ายกัมพูชาเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต


ข้อสรุป

ถึงแม้ว่าข่าว “โดรนเขมรบุกไทย” จะเป็นประเด็นที่สร้างความสนใจและกังวลใจอย่างมาก แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปได้ว่าโดรนที่รุกล้ำน่านฟ้าไทยนั้นเป็นโดรนจากกัมพูชาทุกกรณี อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นเครื่องเตือนใจให้หน่วยงานความมั่นคงของไทยต้องเตรียมพร้อมและเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันภัยคุกคามทางอากาศในทุกรูปแบบ เพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศให้มั่นคงต่อไป

กฎหมายการบินโดรน

กฎหมายการบินโดรน

กฎหมายการบินโดรนในประเทศไทย

กฎหมายการบินโดรน หรือ อากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle: UAV) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งในเชิงสันทนาการ การถ่ายภาพมุมสูง และการใช้งานเชิงพาณิชย์ในด้านต่าง ๆ เช่น การสำรวจ การเกษตร หรือการขนส่ง อย่างไรก็ตาม การใช้งานโดรนก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะ ความเป็นส่วนตัว และความมั่นคงของประเทศ ดังนั้นจึงมีการออกกฎหมายและข้อบังคับเพื่อควบคุมการบินโดรนอย่างเป็นระบบ

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบินโดรนในประเทศไทย

กฎหมายหลักที่ควบคุมการบินโดรนในประเทศไทยคือ พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 และระเบียบที่ออกโดย สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ Civil Aviation Authority of Thailand (CAAT) โดยสรุปได้ดังนี้

1. การลงทะเบียนโดรน

  • โดรนที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2 กิโลกรัมขึ้นไป: ต้องทำการลงทะเบียนกับ กพท. หรือสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) แล้วแต่กรณี
  • โดรนที่มีน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม: ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียน
  • การลงทะเบียน: ผู้ครอบครองโดรนจะต้องยื่นเอกสารเพื่อขออนุญาตครอบครองและขึ้นทะเบียนโดรน โดยจะได้รับใบอนุญาตและหมายเลขทะเบียนสำหรับโดรนแต่ละลำ

2. คุณสมบัติของผู้บังคับโดรน

  • ผู้บังคับโดรนต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์
  • ผู้บังคับโดรนที่มีน้ำหนักโดรนตั้งแต่ 2 กิโลกรัมขึ้นไป ต้องมีใบอนุญาตนักบินหรือใบรับรองการฝึกอบรมที่ออกโดยสถาบันที่ กพท. รับรอง
  • ห้ามทำการบินโดรนในขณะมึนเมาสุราหรือของมึนเมาอื่น ๆ

3. เขตห้ามบินและข้อจำกัดการบิน

  • เขตห้ามบินโดยเด็ดขาด (No-Fly Zone):
    • บริเวณใกล้สนามบิน (ระยะ 9 กิโลเมตรจากสนามบิน)
    • เขตพระราชฐาน
    • สถานที่ราชการสำคัญ เช่น ทำเนียบรัฐบาล
    • สถานที่สำคัญทางศาสนา
    • โรงพยาบาลและสถานพยาบาล
    • บริเวณที่มีผู้คนอยู่หนาแน่น เช่น งานคอนเสิร์ต งานเทศกาล หรือการชุมนุม
  • การบินในเขตเมือง: ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของสถานที่หรือผู้ดูแล
  • ความสูงในการบิน: ไม่เกิน 90 เมตร (ประมาณ 300 ฟุต) จากพื้นดิน
  • การบินในเวลากลางคืน: ต้องได้รับอนุญาตจาก กพท. และต้องติดไฟสัญญาณที่มองเห็นได้ชัดเจน

4. การประกันภัย

  • โดรนที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2 กิโลกรัมขึ้นไป: ต้องมีกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (Third Party Liability) โดยมีวงเงินความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท

5. บทลงโทษ

ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการบินโดรน อาจได้รับโทษทั้งจำคุกและปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของการกระทำผิด เช่น:

  • การบินโดรนโดยไม่ได้รับอนุญาตในเขตห้ามบิน: มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • การบินโดรนโดยไม่ลงทะเบียน: มีโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท
  • การไม่จัดทำประกันภัย: มีโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท

สรุป

การใช้งานโดรนในประเทศไทยนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายที่เข้มงวด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่สาธารณะ ผู้ใช้งานโดรนทุกคนจึงควรศึกษาและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูลสรุปและอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนการใช้งานโดรนทุกครั้ง

โดรนติดกล้อง

โดรนติดกล้อง

โดรนติดกล้อง: เครื่องมือที่เปลี่ยนมุมมองการถ่ายภาพและวิดีโอ

โดรนติดกล้อง หรือ Camera Drone ได้กลายเป็นอุปกรณ์ยอดนิยมที่เข้ามาพลิกโฉมวงการถ่ายภาพและวิดีโออย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เราต้องใช้เครนหรือเฮลิคอปเตอร์เพื่อถ่ายภาพมุมสูง ตอนนี้ใครๆ ก็สามารถควบคุมโดรนขนาดเล็กจากพื้นดินเพื่อเก็บภาพทิวทัศน์อันงดงามและวิดีโอที่น่าตื่นตาตื่นใจได้แล้ว

ประโยชน์ของโดรนติดกล้อง

  • มุมมองใหม่ๆ: โดรนช่วยให้เราถ่ายภาพจากมุมสูงที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้เกิดภาพที่สวยงามและมีเอกลักษณ์ เช่น ภาพมุมกว้างของเมือง ภูเขา หรือชายหาด
  • การสำรวจและตรวจสอบ: นอกจากงานสร้างสรรค์แล้ว โดรน ยังถูกนำมาใช้ในงานด้านการสำรวจและตรวจสอบ เช่น การตรวจสอบสายส่งไฟฟ้า การตรวจสอบหลังคาอาคาร หรือการสำรวจพื้นที่ทางการเกษตร
  • ความสะดวกและรวดเร็ว: การใช้โดรนช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับการใช้เฮลิคอปเตอร์หรือเครนขนาดใหญ่
  • ความปลอดภัย: ช่วยให้เข้าถึงพื้นที่อันตรายหรือเข้าถึงยากได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องส่งคนเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง

คุณสมบัติที่ต้องพิจารณาเมื่อเลือกซื้อโดรนติดกล้อง

  1. คุณภาพกล้อง: พิจารณาความละเอียดของภาพนิ่งและวิดีโอ (เช่น 4K, 8K) รวมถึงขนาดของเซ็นเซอร์และคุณภาพของเลนส์
  2. ระบบกันสั่น (Gimbal): ระบบกันสั่น 3 แกนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้วิดีโอที่ได้มีความนิ่งและราบรื่น ไม่สั่นไหว
  3. ระยะเวลาการบิน: ตรวจสอบระยะเวลาการบินต่อแบตเตอรี่หนึ่งก้อน ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 20-30 นาทีต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
  4. ระยะการควบคุม: ดูว่าโดรนสามารถบินได้ไกลแค่ไหนจากรีโมทคอนโทรล
  5. ฟังก์ชันอัจฉริยะ: โดรน รุ่นใหม่ๆ มักมีฟังก์ชันที่ช่วยให้การบินง่ายขึ้น เช่น การบินตามวัตถุ (ActiveTrack), การหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง (Obstacle Avoidance) และการกลับสู่จุดเริ่มต้นอัตโนมัติ (Return to Home)
  6. ขนาดและน้ำหนัก: โดรนขนาดเล็กพกพาง่ายเหมาะสำหรับนักเดินทาง ในขณะที่โดรนขนาดใหญ่จะให้ความเสถียรในการบินและคุณภาพของกล้องที่ดีกว่า

ข้อควรระวังในการใช้งานโดรน

ก่อนใช้งานโดรน คุณควรศึกษา กฎหมายการบินโดรน ของแต่ละประเทศอย่างละเอียด เพราะการบินในบางพื้นที่ เช่น ใกล้สนามบิน สถานที่ราชการ หรือในเขตชุมชน อาจต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ควรตรวจสอบสภาพอากาศก่อนบินและระวังเรื่องลมแรงที่อาจส่งผลต่อการควบคุมโดรน


โดรนติดกล้องไม่เพียงแต่เป็นของเล่นที่สนุกสนาน แต่ยังเป็นเครื่องมือทรงพลังที่เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้กับผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นช่างภาพมืออาชีพ ผู้สร้างภาพยนตร์ หรือแม้แต่ผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการเก็บภาพความทรงจำจากมุมมองที่แตกต่างออกไป ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดรนติดกล้องจึงยังคงเป็นอุปกรณ์ที่น่าจับตามองและมีบทบาทสำคัญในอนาคตอย่างแน่นอน

โดรนเพื่อการเกษตร

โดรนเพื่อการเกษตร

โดรนเพื่อการเกษตร: นวัตกรรมใหม่ที่พลิกโฉมวงการเกษตรกรรม

โดรนเพื่อการเกษตร ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกๆ ด้านของชีวิต เกษตรกรรมก็เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ได้นำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน หนึ่งในนวัตกรรมที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายคือ โดรนเพื่อการเกษตร หรือ Agricultural Drone ซึ่งเข้ามาช่วยยกระดับการทำงานของเกษตรกรให้ง่าย รวดเร็ว และแม่นยำยิ่งขึ้น

โดรนเพื่อการเกษตรคืออะไร?

โดรนเพื่อการเกษตร คืออากาศยานไร้คนขับ (UAV) ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับงานด้านการเกษตร โดยมีหน้าที่หลักในการสำรวจพื้นที่เพาะปลูก, ฉีดพ่นปุ๋ยและสารกำจัดศัตรูพืช, ตรวจสอบสุขภาพพืช, และการเพาะปลูกพืช โดรนเหล่านี้มาพร้อมกับเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น GPS, เซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อน (Thermal Sensor), กล้องมัลติสเปกตรัม (Multispectral Camera), และระบบควบคุมอัตโนมัติ ทำให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของโดรนเพื่อการเกษตร

การนำโดรนมาใช้ในการเกษตรมีประโยชน์มากมาย ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม:

  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: โดรนสามารถทำงานได้รวดเร็วกว่าแรงงานคนหลายเท่าตัว เช่น การฉีดพ่นสารเคมีในพื้นที่ขนาดใหญ่ โดรนสามารถทำงานได้ครอบคลุมและสม่ำเสมอในเวลาอันสั้น
  • ลดต้นทุน: ในระยะยาว การใช้โดรนช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงานคน และยังช่วยประหยัดค่าปุ๋ยและสารเคมี เพราะสามารถฉีดพ่นได้อย่างแม่นยำตรงจุด ทำให้ใช้ปริมาณสารน้อยลงแต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
  • ความแม่นยำสูง: ด้วยระบบ GPS และเซ็นเซอร์ต่างๆ โดรนสามารถสำรวจและฉีดพ่นได้อย่างแม่นยำตามพิกัดที่กำหนด ช่วยให้สารเคมีไม่ฟุ้งกระจายไปยังพื้นที่ที่ไม่ต้องการ และยังสามารถตรวจจับจุดที่มีปัญหา เช่น จุดที่มีโรคพืชระบาดหรือขาดน้ำได้ก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม
  • เพิ่มผลผลิต: การดูแลพืชอย่างแม่นยำและทันท่วงที ช่วยให้พืชมีสุขภาพดีและเติบโตได้เต็มที่ ทำให้เกษตรกรได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นและมีคุณภาพดีขึ้น
  • ความปลอดภัย: ลดความเสี่ยงในการสัมผัสสารเคมีอันตรายของเกษตรกร เพราะโดรนสามารถฉีดพ่นสารในพื้นที่ที่เข้าถึงยากหรืออันตรายได้โดยไม่ต้องใช้แรงงานคน

การใช้งานโดรนเพื่อการเกษตร

โดรนเพื่อการเกษตรสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานต่างๆ ได้แก่:

  1. การสำรวจพื้นที่และทำแผนที่: โดรนสามารถถ่ายภาพทางอากาศที่มีความละเอียดสูง เพื่อสร้างแผนที่ 3 มิติของพื้นที่เพาะปลูก ทำให้เกษตรกรสามารถวางแผนการเพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. การฉีดพ่นสารเคมีและปุ๋ย: โดรนสามารถฉีดพ่นสารกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยน้ำได้อย่างสม่ำเสมอและแม่นยำ โดยสามารถกำหนดปริมาณการฉีดพ่นได้ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่
  3. การตรวจสอบสุขภาพพืช: ด้วยกล้องมัลติสเปกตรัม “โดรน” สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของสีใบพืชที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เพื่อระบุความเครียดของพืชจากภาวะขาดน้ำ โรคพืช หรือการขาดสารอาหาร
  4. การหว่านเมล็ดพืช: โดรนบางรุ่นถูกพัฒนาให้สามารถหว่านเมล็ดพืชในพื้นที่กว้างได้อย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ

อนาคตของโดรนเพื่อการเกษตร

ในอนาคต โดรนเพื่อการเกษตร จะมีความฉลาดและสามารถทำงานได้หลากหลายมากขึ้น ด้วยเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) ที่จะช่วยให้โดรนสามารถตัดสินใจและปฏิบัติงานได้เองโดยอัตโนมัติ เช่น การระบุชนิดของวัชพืชเพื่อฉีดพ่นเฉพาะจุด หรือการประเมินความต้องการน้ำของพืชในแต่ละช่วงเวลา สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การเกษตรในอนาคตมีประสิทธิภาพสูงสุดและยั่งยืนยิ่งขึ้น


โดรนเพื่อการเกษตร จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนวงการเกษตรกรรมไทยให้ก้าวสู่ยุค เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ช่วยให้เกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และทำงานได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเกษตรกรเอง

โดรนสอดแนม กัมพูชา (เขมร)

โดรนสอดแนม กัมพูชา (เขมร)

ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับการใช้ โดรนสอดแนม ของกัมพูชา (เขมร) ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจและเป็นที่จับตามองของหลายฝ่าย

ขีดความสามารถของโดรนสอดแนมกัมพูชา

รายงานข่าวระบุว่า กองทัพกัมพูชาได้นำโดรนเข้ามาใช้ในภารกิจทางทหาร โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดน โดรนเหล่านี้ถูกใช้เพื่อ ลาดตระเวนและสอดแนม พื้นที่ รวมถึงฐานที่ตั้งทางทหารของฝ่ายตรงข้าม

  • โดรนรุ่นหลัก: มีการกล่าวถึงโดรนรุ่น CW-15 และ CW-40 ที่กัมพูชาจัดหามาจากบริษัท CATIC ของจีน โดยโดรน CW-15 เน้นภารกิจด้านการลาดตระเวนและเป็น “ตาทิพย์” ให้กับกองทัพได้อย่างดี
  • การใช้งาน: โดรนเหล่านี้ถูกนำมาใช้เพื่อเก็บข้อมูลและสอดแนมในพื้นที่ชายแดน รวมถึงในพื้นที่ตอนในบางส่วนของประเทศไทย ซึ่งทำให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่

บทบาทของโดรนในสถานการณ์ปัจจุบัน

ในช่วงที่มีเหตุปะทะกันตามแนวชายแดน โดรนได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนเกมการรบ กัมพูชาใช้โดรนเพื่อ:

  • สอดแนมและชี้เป้า: ใช้บินเหนือที่ตั้งทางทหารของไทยเพื่อเก็บข้อมูลและระบุพิกัดเป้าหมาย
  • ปฏิบัติการทางจิตวิทยา: มีการใช้โดรนเพื่อสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนในพื้นที่
  • สร้างความได้เปรียบ: โดรนเป็นอาวุธที่หาได้ง่ายและมีราคาไม่แพง ทำให้กองทัพขนาดเล็กสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการรบได้

มาตรการรับมือของไทย

ทางการไทยได้ออกมาตรการรับมือกับการรุกล้ำของโดรนสอดแนมจากกัมพูชาอย่างจริงจัง

  • คำเตือนและมาตรการป้องกัน: รัฐบาลไทยได้ออกคำเตือนว่า หากพบโดรนของกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในน่านฟ้าไทย จะสามารถ ยิงทำลายได้ทันที
  • การเฝ้าระวัง: กองทัพไทยได้มีการยกระดับการเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจากโดรนอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการใช้มาตรการทางเทคนิคเพื่อตรวจจับและทำลายโดรนเหล่านี้
  • การควบคุมการบินโดรนในประเทศ: มีการขอความร่วมมือจากประชาชนให้ งดการบินโดรนทุกประเภท ในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เพื่อป้องกันความสับสนและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

สถานการณ์การใช้โดรนสอดแนมของกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า เทคโนโลยีโดรน ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในสงครามยุคใหม่ ไม่ใช่แค่ในภารกิจสอดแนม แต่ยังรวมถึงการโจมตีและการปฏิบัติการทางจิตวิทยาด้วย