เทอโรโดรน

เทอโรโดรน

เมื่อวิวัฒนาการข้ามยุคสมัย… ขอต้อนรับสู่ Pterodrone! (เทอโรโดรน) การผสมผสานอันน่าทึ่งระหว่างเทคโนโลยีอากาศยานล้ำสมัยและแรงบันดาลใจจากสิ่งมีชีวิตที่เคยครองน่านฟ้าเมื่อล้านปีก่อน ไม่ใช่แค่โดรน แต่คือผลงานศิลปะที่พร้อมทะยานสู่ท้องฟ้า ด้วยดีไซน์ aerodynamic ที่เฉียบคม และสมรรถนะการบินที่เหนือชั้น เตรียมพบกับประสบการณ์การบินที่แตกต่าง…

ท่ามกลางฝูงโดรนทั่วไป… จงโดดเด่นด้วย Pterodrone! (เทอโรโดรน)นี่ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือสัญลักษณ์แห่งความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์สะท้อนถึงความกล้าที่จะแตกต่าง พร้อมฟังก์ชันการทำงานที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักถ่ายภาพ นักผจญภัย หรือผู้ที่หลงใหลในเทคโนโลยี Pterodrone จะเป็นเพื่อนคู่ใจที่พร้อมสร้างความประทับใจในทุกการเดินทาง aérienne เตรียมพร้อมที่จะโบยบินเหนือความคาดหมายกับ Pterodrone… เพราะท้องฟ้าไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน แต่มีไว้สำหรับผู้ที่กล้าที่จะแตกต่าง!

ออกไปสำรวจโลกในมุมมองใหม่กับ Pterodrone! จากยอดเขาสูงตระหง่าน สู่ชายหาดทรายขาวละเอียด หรือแม้แต่ป่าลึกที่ยังไม่ถูกค้นพบ Pterodrone จะพาคุณไปสัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่าง ด้วยระบบ GPS ที่แม่นยำ กล้องคุณภาพสูง และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนาน ทุกการผจญภัยจะถูกบันทึกไว้ในความทรงจำ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางที่น่าตื่นเต้น… เตรียมตัวโบยบินไปกับ Pterodrone! โลกใบนี้กำลังรอการค้นพบของคุณ!

เขตห้ามบินโดรน

เขตห้ามบินโดรน

เขตห้ามบินโดรนในประเทศไทย

การบังคับโดรนในประเทศไทยจำเป็นต้องคำนึงถึงกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ เขตห้ามบินโดรน ซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยของสาธารณะ ความมั่นคงของประเทศ และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของน่านฟ้า การฝ่าฝืนข้อกำหนดเหล่านี้อาจนำไปสู่บทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรง ทั้งโทษปรับและโทษจำคุก

ประเภทของเขตห้ามบินโดรนในประเทศไทย

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้แบ่งประเภทของพื้นที่ห้ามบินโดรนออกเป็นหลักๆ ดังนี้:

1. เขตห้ามบินโดยเด็ดขาด (No-Fly Zone)

เป็นพื้นที่ที่ห้ามทำการบินโดรนทุกกรณี ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์ใดๆ ทั้งสิ้น ผู้บังคับโดรนจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่ได้บินเข้าไปในพื้นที่เหล่านี้โดยเด็ดขาด ได้แก่:

  • พื้นที่รอบสนามบิน: กำหนดเป็นรัศมี 9 กิโลเมตร (5 ไมล์ทะเล) จากสนามบิน หรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยาน ทั้งนี้รวมถึงสนามบินทหารและสนามบินพาณิชย์
  • พระราชวังและพื้นที่พระราชฐาน: เป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งทางความมั่นคง
  • สถานที่ราชการสำคัญ: เช่น ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา สถานที่ราชการด้านความมั่นคง และสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์
  • เรือนจำและทัณฑสถาน: เพื่อป้องกันการกระทำที่ผิดกฎหมาย
  • โรงไฟฟ้านิวเคลียร์และโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง: เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการชนหรือการก่อกวน
  • พื้นที่หวงห้าม/อันตราย (ตามที่ประกาศใน AIP Thailand): เป็นพื้นที่ที่ กพท. ประกาศกำหนดไว้โดยเฉพาะ เช่น พื้นที่บางส่วนในจังหวัดศรีษะเกษ, นครสวรรค์, จันทบุรี, ตราด, ราชบุรี, นครราชสีมา, และอุบลราชธานี
  • จังหวัดชายแดนที่ประกาศกฎอัยการศึก: หรือพื้นที่ที่มีกองกำลังปฏิบัติการภาคพื้น เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ

2. เขตห้ามบินที่ต้องขออนุญาต (Restricted Zone)

เป็นพื้นที่ที่สามารถทำการบินโดรนได้ แต่ต้องได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน ซึ่งผู้บังคับโดรนต้องดำเนินการขออนุญาตและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ได้แก่:

  • พื้นที่จัดงานหรือกิจกรรมสำคัญ: การบินโดรนในพื้นที่ที่มีการชุมนุมหรือจัดกิจกรรม ต้องขออนุญาตจากผู้จัดงานและเจ้าของพื้นที่
  • อุทยานแห่งชาติและแหล่งโบราณสถาน: ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่นั้นๆ
  • พื้นที่ส่วนบุคคล: หากต้องการบินโดรนในพื้นที่ส่วนบุคคล ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ก่อน

นอกจากพื้นที่ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีข้อกำหนดอื่นๆ ที่ผู้บังคับโดรนต้องทราบและปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เช่น:

  • ห้ามบินโดรนเกินความสูง 90 เมตร (300 ฟุต) เหนือพื้นดิน: ยกเว้นจะได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษ
  • ห้ามบินโดรนเหนือเมือง หมู่บ้าน ชุมชน หรือพื้นที่ที่มีคนมาชุมนุมอยู่
  • ห้ามบินโดรนเข้าใกล้บุคคล ยานพาหนะ หรือสิ่งปลูกสร้างในระยะที่กำหนด: เว้นแต่จะได้รับอนุญาต
  • ห้ามใช้โดรนเพื่อบันทึกภาพหรือเสียงที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น

วิธีการตรวจสอบเขตห้ามบิน

ก่อนทำการบินโดรนทุกครั้ง ผู้บังคับโดรนควรตรวจสอบพื้นที่ที่จะบินอย่างละเอียด สามารถทำได้โดย:

  • ตรวจสอบจากเว็บไซต์ของ กพท.: กพท. มีข้อมูลแผนที่และประกาศเกี่ยวกับเขตห้ามบินที่สามารถตรวจสอบได้
  • ใช้แอปพลิเคชันสำหรับนักบินโดรน: มีแอปพลิเคชันหลายตัวที่ช่วยตรวจสอบเขตห้ามบินแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ใช้สามารถวางแผนการบินได้อย่างปลอดภัย

การทำความเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ เขตห้ามบินโดรน ถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้บังคับโดรนทุกคน เพื่อส่งเสริมการใช้โดรนอย่างสร้างสรรค์และปลอดภัยในสังคมไทย


1.เรื่องต้องรู้ก่อนการใช้โดรน

https://www.caat.or.th/th/archives/92974

2.วิธีแสดงหมายเลขทะเบียนอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน

https://www.caat.or.th/th/archives/92978

3.การบินโดรนในประเทศไทย (Flying a drone in Thailand)

Planning to fly a drone in Thailand ?

Here’s how to prepare for a smooth flight.

English Version : https://www.caat.or.th/en/archives/27220


รายละเอียดเพิ่มเติม https://uasportal.caat.or.th/

ฝ่ายมาตรฐานอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (UAS)

UAS Portal (uasportal.caat.or.th) 

อีเมล : uav@caat.or.th

โทร. : 0 2 568 8851

ลงทะเบียนโดรนออนไลน์

ลงทะเบียนโดรนออนไลน์

ลงทะเบียนโดรนออนไลน์ ในประเทศไทย การใช้โดรน (Unmanned Aerial Vehicle – UAV) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ การถ่ายภาพทางอากาศ และการใช้งานในเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อย สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้กำหนดให้ผู้ที่เป็นเจ้าของและผู้ที่ใช้โดรนต้องดำเนินการ ลงทะเบียนโดรนออนไลน์ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย

ทำไมต้องลงทะเบียนโดรน?

การลงทะเบียนโดรนมีวัตถุประสงค์หลักๆ ดังนี้:

  • ความปลอดภัย: เพื่อให้ กพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถติดตามและควบคุมการใช้โดรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการบินโดรน
  • ความมั่นคง: ป้องกันการนำโดรนไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
  • ความเป็นระเบียบ: สร้างฐานข้อมูลของผู้ใช้โดรน ทำให้สามารถออกกฎระเบียบและข้อบังคับที่เหมาะสมกับการใช้งานโดรนในแต่ละประเภท

ขั้นตอนการลงทะเบียนโดรนออนไลน์

การลงทะเบียนโดรนออนไลน์สามารถทำได้ง่ายๆ ผ่านเว็บไซต์ของ กพท. โดยมีขั้นตอนดังนี้:

1. เตรียมเอกสารและข้อมูลที่จำเป็น

ก่อนเริ่มลงทะเบียน ผู้ใช้ควรเตรียมข้อมูลและเอกสารให้พร้อม เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการกรอกข้อมูล:

  • ข้อมูลส่วนตัว:
    • สำเนาบัตรประชาชน
    • ที่อยู่ปัจจุบัน
    • เบอร์โทรศัพท์และอีเมลที่สามารถติดต่อได้
  • ข้อมูลโดรน:
    • ยี่ห้อและรุ่นของโดรน
    • หมายเลขประจำเครื่อง (Serial Number) ของโดรน
    • น้ำหนักของโดรน
    • ภาพถ่ายของโดรน
  • เอกสารประกอบ (ถ้ามี):
    • กรมธรรม์ประกันภัยโดรน (สำหรับโดรนที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2 กิโลกรัมขึ้นไป)
    • รูปถ่ายผู้ครอบครองโดรน

2. เข้าสู่เว็บไซต์ลงทะเบียน

ผู้ใช้สามารถเข้าสู่เว็บไซต์สำหรับลงทะเบียนโดรนได้ที่ https://uav.caat.or.th

3. สร้างบัญชีผู้ใช้ (สำหรับผู้ที่ยังไม่มีบัญชี)

  • กดปุ่ม “ลงทะเบียน” หรือ “สมัครสมาชิก”
  • กรอกข้อมูลส่วนตัวตามที่ระบบร้องขอ
  • ยืนยันการลงทะเบียนผ่านอีเมลที่ใช้สมัคร

4. กรอกข้อมูลการลงทะเบียนโดรน

เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว ให้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้:

  • เลือกประเภทการลงทะเบียน (โดรนส่วนบุคคล หรือโดรนเชิงพาณิชย์)
  • กรอกข้อมูลโดรนตามที่เตรียมไว้
  • อัปโหลดเอกสารที่จำเป็น เช่น สำเนาบัตรประชาชน และภาพถ่ายโดรน
  • ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทั้งหมดอีกครั้ง
  • กดยืนยันการลงทะเบียน

5. รอผลการพิจารณา

หลังจากส่งข้อมูลเรียบร้อยแล้ว กพท. จะใช้เวลาในการตรวจสอบข้อมูลและอนุมัติ โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 7-14 วันทำการ เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว ผู้ใช้จะได้รับหมายเลขทะเบียนโดรน (Registration Number) ซึ่งต้องนำไปติดไว้บนตัวโดรนให้มองเห็นได้ชัดเจน

ข้อควรระวังและบทลงโทษ

การไม่ลงทะเบียนโดรนให้ถูกต้องตามกฎหมาย ถือว่ามีความผิดและมีบทลงโทษตาม พ.ร.บ. การเดินอากาศ พ.ศ. 2497 ดังนี้:

  • ปรับสูงสุด 40,000 บาท และ/หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี
  • โดรนที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2 กิโลกรัมขึ้นไป: ต้องทำประกันภัยโดรนเพื่อคุ้มครองความเสียหายต่อบุคคลที่สาม หากไม่ทำประกันภัยจะมีความผิดและมีโทษปรับ
  • การบินโดรนในเขตห้ามบิน: ห้ามบินในเขตห้ามบิน เช่น สนามบิน สถานที่ราชการ หรือสถานที่ที่มีการประกาศห้าม หากฝ่าฝืนจะมีโทษรุนแรง

การลงทะเบียนโดรนออนไลน์จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ใช้โดรนทุกคนควรให้ความสำคัญ เพื่อการใช้โดรนที่ปลอดภัย ถูกต้องตามกฎหมาย และช่วยสร้างสังคมการบินโดรนที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยในประเทศไทย

โดรนขนส่ง (Delivery Drone)

โดรนขนส่ง (Delivery Drone)

โดรนขนส่ง (Delivery Drone) ในปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจ การขนส่งสินค้าก็เป็นหนึ่งในนั้น และ “โดรนขนส่ง” (Delivery Drone) ก็เป็นนวัตกรรมที่กำลังเข้ามาพลิกโฉมวงการโลจิสติกส์ให้ก้าวไปอีกขั้น

โดรนขนส่งคืออะไร?

โดรนขนส่ง คือ อากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle – UAV) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการขนส่งสินค้าขนาดเล็กไปยังจุดหมายปลายทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดรนเหล่านี้มักจะถูกควบคุมโดยระบบอัตโนมัติที่สามารถนำทาง บินหลบหลีกสิ่งกีดขวาง และลงจอดได้อย่างแม่นยำ

หลักการทำงานเบื้องต้น

  1. การรับคำสั่ง: เมื่อลูกค้าสั่งสินค้า ระบบจะทำการสร้างคำสั่งและข้อมูลที่จำเป็น เช่น ที่อยู่จัดส่ง พิกัด GPS และรายละเอียดของสินค้า
  2. การเตรียมสินค้า: สินค้าจะถูกบรรจุในกล่องหรือภาชนะที่เหมาะสมและติดเข้ากับโดรน
  3. การบิน: โดรนจะทำการบินตามเส้นทางที่ได้วางแผนไว้ โดยใช้ GPS และเซ็นเซอร์ต่างๆ ในการนำทางและหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง
  4. การจัดส่ง: เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง โดรนจะทำการลงจอดอย่างปลอดภัยหรือใช้ระบบการหย่อนสินค้าจากอากาศ (เช่น การใช้รอก) เพื่อส่งมอบสินค้า
  5. การกลับสู่ฐาน: หลังจากส่งมอบสินค้าเสร็จสิ้น โดรนจะบินกลับไปยังฐานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจัดส่งครั้งต่อไป

ข้อดีของโดรนขนส่ง

  • ความรวดเร็ว: โดรนสามารถบินไปยังจุดหมายปลายทางได้โดยไม่ต้องเจอกับปัญหาการจราจรติดขัด ทำให้สามารถลดระยะเวลาในการจัดส่งได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • ความแม่นยำ: การใช้ GPS และระบบนำทางขั้นสูงช่วยให้โดรนสามารถจัดส่งสินค้าไปยังจุดที่กำหนดได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
  • การเข้าถึงพื้นที่ยากลำบาก: โดรนสามารถเข้าถึงพื้นที่ที่รถยนต์หรือยานพาหนะทั่วไปเข้าไม่ถึงได้ เช่น พื้นที่ห่างไกล, เกาะ, หรือพื้นที่ประสบภัย
  • การลดมลพิษ: โดรนขนส่งส่วนใหญ่ใช้พลังงานไฟฟ้า ทำให้ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ช่วยลดมลพิษทางอากาศ
  • การลดต้นทุน: ในระยะยาว โดรนขนส่งสามารถช่วยลดต้นทุนด้านเชื้อเพลิงและแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายและข้อจำกัด

  • กฎระเบียบและข้อบังคับ: การบินของโดรนอยู่ภายใต้กฎหมายและข้อบังคับที่เข้มงวดของแต่ละประเทศ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์
  • ความปลอดภัย: มีความเสี่ยงที่โดรนอาจจะตก, เกิดอุบัติเหตุ, หรือถูกจารกรรมข้อมูล ทำให้ต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัยที่รัดกุม
  • ขนาดและน้ำหนักของสินค้า: โดรนในปัจจุบันยังคงมีข้อจำกัดในการขนส่งสินค้าที่มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก
  • สภาพอากาศ: สภาพอากาศที่เลวร้าย เช่น ลมพายุ, ฝนตกหนัก, หรือหิมะ อาจเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของโดรน
  • แบตเตอรี่และระยะทางการบิน: แบตเตอรี่ของโดรนมีข้อจำกัดในเรื่องของระยะเวลาการใช้งานและระยะทางการบิน

ตัวอย่างการนำโดรนขนส่งไปใช้งานจริง

  • Amazon Prime Air: หนึ่งในโครงการนำร่องที่โดดเด่นของ Amazon ที่ตั้งเป้าจะจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าภายใน 30 นาที
  • Alphabet’s Wing: บริษัทในเครือ Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) ที่ให้บริการจัดส่งสินค้าในหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย, ฟินแลนด์ และสหรัฐอเมริกา
  • การขนส่งเวชภัณฑ์และวัคซีน: ในหลายประเทศมีการใช้โดรนในการขนส่งเวชภัณฑ์และวัคซีนไปยังพื้นที่ห่างไกลและเข้าถึงยากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป

โดรนขนส่งเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงในการเปลี่ยนแปลงวงการโลจิสติกส์และธุรกิจการจัดส่งสินค้าในอนาคต แม้ว่าในปัจจุบันจะยังคงมีความท้าทายและข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าโดรนขนส่งจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราได้อย่างแน่นอน และจะช่วยสร้างความสะดวกสบาย, รวดเร็ว, และมีประสิทธิภาพให้กับผู้บริโภคและธุรกิจในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

CAAT ผ่อนปรนโดรนเกษตร

CAAT ผ่อนปรนโดรนเกษตร

CAAT ประกาศผ่อนปรนเฉพาะโดรนเกษตร 11 ส.ค. เป็นต้นไป ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ.

CAAT ผ่อนปรนโดรนเกษตร

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศฉบับที่ 3 ยังคงห้ามทำการบินอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (โดรน) ทุกประเภททั่วราชอาณาจักร จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2568 หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยทางการบินในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป CAAT จะผ่อนปรนอนุญาตเฉพาะการบินโดรนเพื่อการเกษตร ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ได้แก่

• ผู้บังคับโดรนและตัวโดรนต้องขึ้นทะเบียนกับ CAAT ครบถ้วน และยังไม่หมดอายุ

• ได้รับอนุญาตปฏิบัติการบินเพื่อการเกษตรจาก CAAT

• ไม่มีประวัติฝ่าฝืนหรือถูกเพิกถอนสิทธิการบิน

• ทำการบินได้เฉพาะในพื้นที่เกษตรของตน หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่

• แจ้งการบินล่วงหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์ uasportal.caat.or.th หรือแอปพลิเคชัน UAS Portal ของ CAAT และอีเมล ศตอ.น. antidrone.police@gmail.com และตำรวจท้องที่ หรือกำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน

• ความสูงการบินไม่เกิน 30 เมตร

• ทำการบินได้ระหว่างเวลา 06.00–18.00 น. เท่านั้น (ห้ามบินกลางคืน)

• ใช้เพื่อโปรย หว่าน สารอินทรีย์ สารอนินทรีย์ สารเคมี เพื่อการเกษตร น้ำ หรือปุ๋ยเท่านั้น ห้ามใช้เพื่อถ่ายภาพหรือสำรวจ

ทั้งนี้ CAAT ได้กำหนดพื้นที่ห้ามทำการบินโดรนทุกประเภทโดยเด็ดขาด ได้แก่ พื้นที่หวงห้าม/อันตรายตามที่ประกาศใน AIP Thailand (16 พื้นที่หลัก เช่น ศรีษะเกษ, นครสวรรค์, จันทบุรี, ตราด, ราชบุรี, นครราชสีมา, อุบล ฯลฯ) จังหวัดชายแดนที่ประกาศกฎอัยการศึก หรือมีกองกำลังปฏิบัติการภาคพื้น (7 จังหวัด) อำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี, อำเภอเมือง จ.ระยอง, รัศมี 9 กิโลเมตรรอบสนามบินและจุดขึ้นลงอากาศยานทุกแห่ง และพื้นที่ที่หน่วยงานความมั่นคงประกาศเป็นการเฉพาะเพิ่มเติม

ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเจ้าหน้าที่มีอำนาจทำลายหรือตอบโต้อากาศยาน รวมถึงใช้ระบบต่อต้านอากาศยานไร้นักบิน (Anti-Drone System) ได้

หากมีข้อสงสัยหรือพบการฝ่าฝืน สามารถแจ้งได้ที่ CAAT โทร. 02-568-8851 (ในเวลาราชการ) อีเมล uas_us@caat.or.th หรือ ศตอ.น. โทร. 02-126-7846 อีเมล antidrone.police@gmail.com รวมถึงสถานีตำรวจ หน่วยทหาร หรือหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่

ที่มา: https://www.caat.or.th/th

ตาข่ายจับโดรน

ตาข่ายจับโดรน

ตาข่ายดักจับโดรน: โซลูชันที่เงียบสงบแต่มีประสิทธิภาพ

ตาข่ายจับโดรน , ในโลกที่โดรน (UAV) มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการถ่ายภาพ, การส่งของ, การเกษตร หรือแม้กระทั่งการสอดแนม ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ ด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโดรนถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด หรือบินเข้าสู่พื้นที่หวงห้าม เช่น สนามบิน, สถานที่ราชการ, หรือคุก วิธีการดั้งเดิมในการจัดการกับโดรน เช่น การยิงตก อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือชีวิตได้ จึงทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่เงียบสงบและปลอดภัยกว่าขึ้นมา นั่นก็คือ ตาข่ายดักจับโดรน


ตาข่ายดักจับโดรนคืออะไร?

ตาข่ายดักจับโดรนคือระบบที่ใช้ในการจับและควบคุมโดรนที่ไม่ได้รับอนุญาตโดยไม่ทำให้โดรนหรือสิ่งแวดล้อมโดยรอบได้รับความเสียหาย ระบบนี้ทำงานโดยการยิงตาข่ายขนาดใหญ่ไปคลุมโดรน ทำให้ใบพัดพันกับตาข่ายและไม่สามารถบินต่อไปได้ ซึ่งแตกต่างจากวิธีการยิงตกที่อาจทำให้โดรนตกลงมาอย่างควบคุมไม่ได้

โดยทั่วไปแล้ว ระบบตาข่ายดักจับโดรนจะประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก ๆ ดังนี้:

  • เครื่องยิงตาข่าย (Net Launcher): เป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการปล่อยตาข่าย อาจเป็นปืนที่ใช้แรงดันอากาศ, ก๊าซอัด, หรือระบบสปริง เพื่อยิงตาข่ายออกไปในระยะทางที่กำหนด
  • ตาข่าย (Net): ทำจากวัสดุที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรง เช่น ไนลอนหรือโพลีเอทิลีน มีการออกแบบพิเศษให้กางออกและครอบคลุมโดรนได้อย่างรวดเร็วเมื่อถูกยิงออกไป
  • ระบบค้นหาและติดตามเป้าหมาย: ระบบที่ซับซ้อนกว่าจะใช้เรดาร์, กล้องอินฟราเรด, หรือเซ็นเซอร์อื่น ๆ ในการตรวจจับและล็อกเป้าหมายโดรนโดยอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการยิง

ประเภทของตาข่ายดักจับโดรน

ตาข่ายดักจับโดรนไม่ได้มีเพียงแค่แบบเดียว แต่มีการพัฒนาให้เหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้:

  • ตาข่ายแบบยิงจากพื้น (Ground-based Net Launcher): เป็นระบบที่ใช้โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรือผู้ที่ดูแลพื้นที่หวงห้าม ใช้งานง่ายและเหมาะสำหรับการป้องกันพื้นที่ขนาดเล็กหรือเป้าหมายที่อยู่ใกล้
  • โดรนติดตาข่าย (Net-wielding Drone): เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่าสนใจ โดยใช้โดรนอีกตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่า บินเข้าใกล้โดรนเป้าหมาย จากนั้นก็ปล่อยตาข่ายออกจากตัวมันเองเพื่อจับโดรนเป้าหมาย วิธีนี้มีข้อได้เปรียบคือสามารถไล่ตามและจับโดรนที่บินอยู่ในระดับความสูงที่ยากจะเข้าถึงจากพื้นได้
  • ปืนตาข่าย (Net Gun): มีลักษณะคล้ายปืนทั่วไป แต่ใช้ยิงตาข่ายออกไป เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับโดรนในระยะใกล้หรือในพื้นที่ที่จำกัด

ข้อดีของการใช้ตาข่ายดักจับโดรน

การใช้ตาข่ายดักจับโดรนมีข้อได้เปรียบหลายประการที่ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าวิธีการอื่น ๆ:

  • ปลอดภัย: ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโดรนหรือทรัพย์สินรอบข้าง เนื่องจากโดรนจะถูกจับและตกลงมาอย่างช้า ๆ หรือถูกนำกลับมาอย่างปลอดภัย
  • เงียบสงบ: การทำงานของระบบตาข่ายดักจับโดรนส่วนใหญ่เงียบกว่าการใช้อาวุธปืน ทำให้สามารถใช้งานในพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวได้
  • มีประสิทธิภาพ: สามารถดักจับโดรนได้หลากหลายขนาดและประเภท ตราบใดที่ตาข่ายมีขนาดใหญ่พอที่จะครอบคลุมโดรนได้
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ไม่ทิ้งสารเคมีหรือซากกระสุนที่เป็นอันตรายเหมือนกับวิธีการยิงตกแบบดั้งเดิม

สรุป

ตาข่ายดักจับโดรนเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างในการจัดการกับภัยคุกคามจากโดรนอย่างชาญฉลาดและปลอดภัย การทำงานที่เงียบสงบและประสิทธิภาพสูงทำให้ระบบนี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและผู้ที่ดูแลพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกรุกล้ำจากโดรนในอนาคต

โดรนใต้น้ำ

โดรนใต้น้ำ

โดรนใต้น้ำ: นวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกใต้สมุทร

โลกใต้สมุทรยังคงเป็นดินแดนลึกลับที่เราสำรวจไปได้เพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดรนใต้น้ำ หรือ Remotely Operated Vehicle (ROV) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปิดเผยความลับเหล่านี้ และทำภารกิจที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง

โดรนใต้น้ำคืออะไร?

โดรนใต้น้ำ เป็นยานพาหนะขนาดเล็กที่ควบคุมจากระยะไกล โดยทั่วไปจะประกอบด้วยกล้องวิดีโอความละเอียดสูง ไฟส่องสว่าง และแขนกลสำหรับหยิบจับสิ่งของ โดรนใต้น้ำจะเชื่อมต่อกับผู้ควบคุมบนเรือหรือบนบกด้วยสายเคเบิล (Tether) ที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลและพลังงาน ทำให้ผู้ควบคุมสามารถมองเห็นและสั่งการโดรนได้แบบเรียลไทม์

ประโยชน์ของโดรนใต้น้ำ

โดรนใต้น้ำถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมและภารกิจสำคัญ เช่น:

  • การสำรวจทางวิทยาศาสตร์: นักวิทยาศาสตร์ใช้โดรนใต้น้ำในการสำรวจระบบนิเวศใต้ทะเล ศึกษาพฤติกรรมสัตว์น้ำ และเก็บตัวอย่างจากก้นทะเลลึก ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์
  • การตรวจสอบโครงสร้างใต้ทะเล: ในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ โดรนใต้น้ำใช้ในการตรวจสอบท่อส่งก๊าซ แท่นขุดเจาะน้ำมัน และโครงสร้างใต้น้ำอื่น ๆ เพื่อหาจุดบกพร่องหรือความเสียหาย
  • การกู้ภัยและค้นหา: เมื่อเกิดเหตุการณ์เรืออับปางหรือเครื่องบินตกในทะเล โดรนใต้น้ำสามารถช่วยในการค้นหาผู้สูญหายและสำรวจซากเรือในบริเวณที่เป็นอันตรายเกินกว่าที่นักประดาน้ำจะเข้าถึงได้
  • การสำรวจแหล่งโบราณคดีใต้น้ำ: นักโบราณคดีใช้โดรนใต้น้ำในการสำรวจซากเรือโบราณและโบราณวัตถุที่จมอยู่ใต้ทะเล เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในอดีต

ความก้าวหน้าในปัจจุบัน

ปัจจุบัน โดรนใต้น้ำมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านขนาดที่เล็กลง ความคล่องตัวที่มากขึ้น และการทำงานที่ยาวนานขึ้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบการควบคุมที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ทำให้โดรนสามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ (Autonomous Underwater Vehicle – AUV) ในบางภารกิจโดยไม่ต้องใช้สายเคเบิลเชื่อมต่อกับผู้ควบคุมตลอดเวลา

อนาคตของโดรนใต้น้ำ

อนาคตของโดรนใต้น้ำดูสดใสมาก เทคโนโลยีเหล่านี้จะยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสำรวจโลกใต้สมุทร และจะถูกนำไปใช้ในงานที่หลากหลายมากขึ้น เช่น การทำประมงอัจฉริยะ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเล การตรวจสอบมลพิษ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล


สรุปได้ว่า โดรนใต้น้ำไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่น่าทึ่ง แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่เปิดประตูสู่โลกใต้น้ำที่เรายังไม่รู้จัก ทำให้เราเข้าใจและสามารถปกป้องทรัพยากรทางทะเลที่มีค่าของเราได้ดีขึ้น

สปายโดรน

สปายโดรน

โดรนสอดแนม หรือ สปายโดรน (Spy Drone) คืออากาศยานไร้คนขับ (UAV) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจสอดแนมและเก็บข้อมูลเป็นหลัก มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และสามารถบินได้อย่างเงียบเชียบ ทำให้ตรวจจับได้ยากกว่าโดรนทั่วไป

ลักษณะเด่นของสปายโดรน

  • ขนาดเล็กและน้ำหนักเบา: สปายโดรนมักมีขนาดกะทัดรัด ทำให้สามารถเข้าถึงพื้นที่แคบๆ หรือซ่อนตัวในสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ง่าย
  • เสียงเงียบ: มอเตอร์และใบพัดถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อลดเสียงรบกวน ทำให้ยากต่อการได้ยินเมื่อบินอยู่บนท้องฟ้า
  • กล้องคุณภาพสูง: ติดตั้งกล้องความละเอียดสูง หรือ กล้องถ่ายภาพความร้อน (Thermal Camera) เพื่อการสอดแนมในเวลากลางคืนหรือในสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย
  • ระบบการบินอัตโนมัติ: สามารถตั้งค่าเส้นทางการบินล่วงหน้า (Waypoint) ได้ ทำให้สามารถบินไปตามเป้าหมายได้โดยไม่ต้องควบคุมตลอดเวลา
  • ระยะเวลาการบินยาวนาน: ใช้แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงที่ช่วยให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้นานขึ้น

การใช้งานสปายโดรน

สปายโดรน (Spy Drone)ถูกนำไปใช้ในหลายด้าน ทั้งในทางทหารและพลเรือน ดังนี้:

  • ทางการทหาร: ใช้ในการลาดตระเวน, การสอดแนมความเคลื่อนไหวของศัตรู, การประเมินความเสียหายหลังการโจมตี หรือใช้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจพิเศษ
  • การบังคับใช้กฎหมาย: ตำรวจและหน่วยงานความมั่นคงใช้สปายโดรนในการติดตามผู้ต้องสงสัย, การเฝ้าระวังพื้นที่อันตราย, หรือใช้ในการปฏิบัติการกู้ภัย
  • การสอดแนมทางอุตสาหกรรม: บริษัทบางแห่งอาจใช้สปายโดรนเพื่อสอดแนมคู่แข่ง, การตรวจสอบความปลอดภัยในโรงงาน หรือการเฝ้าระวังทรัพย์สิน
  • การใช้งานส่วนตัว: แม้จะผิดกฎหมายในหลายประเทศ แต่ก็มีการนำสปายโดรนมาใช้ในการแอบถ่ายภาพหรือวิดีโอส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาด้านความเป็นส่วนตัว

ความเสี่ยงและข้อกังวล

การแพร่หลายของสปายโดรน (Spy Drone)ก่อให้เกิดความกังวลหลายประการ โดยเฉพาะประเด็นด้าน ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย เพราะการนำสปายโดรนมาใช้ในทางที่ผิดสามารถละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นได้ง่าย นอกจากนี้ การใช้” สปายโดรน “โดยไม่ได้รับอนุญาตยังอาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติได้เช่นกัน

จดทะเบียนโดรน และ ขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรน

จดทะเบียนโดรน และ ขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรน

จดทะเบียนโดรน และ ขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรน ,ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีโดรนเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพมุมสูง การสำรวจ หรือแม้กระทั่งการขนส่ง การใช้งานโดรนอย่างถูกกฎหมายและปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานโดรนในประเทศไทย การ จดทะเบียนโดรน และ ขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรน เป็นขั้นตอนที่จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย


ทำไมต้องจดทะเบียนโดรน?

การจดทะเบียนโดรนกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) และการขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรนกับ กพท. มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อควบคุมและกำกับดูแลการใช้งานโดรนให้เป็นไปอย่างมีระเบียบและปลอดภัย ป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การบินเข้าไปในเขตหวงห้าม การละเมิดความเป็นส่วนตัว หรือการก่อให้เกิดอุบัติเหตุกับอากาศยานอื่น ๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถตรวจสอบและติดตามผู้บังคับโดรนได้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์


โดรนแบบไหนที่ต้องจดทะเบียน?

ตามประกาศของ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT  กำหนดให้โดรนที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ต้องทำการจดทะเบียน:

  • โดรนที่มีน้ำหนักเกิน 2 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 25 กิโลกรัม
  • โดรนที่ติดตั้งกล้อง ไม่ว่าจะมีน้ำหนักเท่าไหร่ก็ตาม

หากโดรนของคุณมีคุณสมบัติตรงตามข้อใดข้อหนึ่งข้างต้น การจดทะเบียนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย


ขั้นตอนการจดทะเบียนโดรนและขึ้นทะเบียนผู้บังคับ

การดำเนินการจดทะเบียนสามารถทำได้ผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ของ กพท. ซึ่งมีขั้นตอนโดยสรุปดังนี้:

1. การเตรียมเอกสาร

  • สำหรับโดรน: สำเนาหลักฐานการครอบครองโดรน (เช่น ใบเสร็จรับเงิน, สัญญาซื้อขาย), ภาพถ่ายโดรนที่มีหมายเลข Serial Number
  • สำหรับผู้บังคับโดรน: สำเนาบัตรประชาชน, รูปถ่ายหน้าตรง, เอกสารรับรองคุณสมบัติทางด้านการบิน (สำหรับโดรนที่มีน้ำหนักเกิน 25 กิโลกรัมขึ้นไป)

2. การยื่นคำขอออนไลน์

  • เข้าสู่เว็บไซต์ของ กพท. และกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กำหนด
  • อัปโหลดเอกสารที่เตรียมไว้
  • ชำระค่าธรรมเนียม

3. การรอผลการพิจารณา

  • เจ้าหน้าที่ของ กพท. จะทำการตรวจสอบเอกสารและพิจารณาคำขอ
  • หากคำขอได้รับการอนุมัติ คุณจะได้รับใบอนุญาตจดทะเบียนโดรนและใบอนุญาตผู้บังคับโดรนทางอีเมล

การจดทะเบียนโดรนและขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรนเป็นเรื่องที่ผู้ใช้งานโดรนทุกคนควรให้ความสำคัญ เพื่อให้สามารถใช้งานโดรนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและปลอดภัยต่อตนเองและผู้อื่น หากคุณกำลังวางแผนที่จะซื้อหรือใช้งานโดรน อย่าลืมดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อความสบายใจในการบิน


รายละเอียดเพิ่มเติม https://uasportal.caat.or.th/

ฝ่ายมาตรฐานอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (UAS)

UAS Portal (uasportal.caat.or.th) 

อีเมล : uav@caat.or.th

โทร. : 0 2 568 8851

ยุทธวิธีโดรนสงคราม

ยุทธวิธีโดรนสงคราม

ยุทธวิธีโดรนสงคราม: กลยุทธ์ที่พลิกโฉมสนามรบ

การเข้ามาของโดรน (Drone) หรืออากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicles – UAVs) ได้ปฏิวัติแนวคิดและยุทธวิธีในการทำสงครามไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่ถูกมองว่าเป็นเพียงเครื่องมือเสริม ปัจจุบันโดรนได้กลายเป็นปัจจัยชี้ขาดในหลายสมรภูมิ และทำให้กองทัพต่างๆ ทั่วโลกต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่นี้

ยุทธวิธีโดรนสงครามสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ขึ้นอยู่กับภารกิจและเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ ดังนี้

1. การสอดแนมและรวบรวมข่าวกรอง (Intelligence, Surveillance, and Reconnaissance – ISR)

นี่คือบทบาทดั้งเดิมของโดรนที่ยังคงมีความสำคัญสูงสุด โดรนสอดแนม สามารถบินเข้าสู่พื้นที่อันตรายเพื่อเก็บข้อมูลภาพถ่ายความละเอียดสูง, วิดีโอ, และข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ โดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตนักบิน ข้อมูลที่ได้จะถูกส่งกลับมายังศูนย์บัญชาการแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้บัญชาการมี “ภาพรวมของสนามรบ” ที่ชัดเจนและทันท่วงที ช่วยในการตัดสินใจทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีได้อย่างแม่นยำ เช่น โดรน RQ-4 Global Hawk ของสหรัฐฯ ที่สามารถบินได้นานและครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่

2. การโจมตีแบบแม่นยำ (Precision Strikes)

โดรนติดอาวุธ (Armed Drones) เช่น MQ-9 Reaper หรือ TB2 Bayraktar ได้กลายเป็นอาวุธหลักในการโจมตีเป้าหมายที่มีมูลค่าสูง โดรนเหล่านี้สามารถบินวนอยู่เหนือเป้าหมายเป็นเวลานาน รอจังหวะที่เหมาะสมที่สุดเพื่อทำการโจมตีด้วยจรวดนำวิถีหรือระเบิดขนาดเล็กได้อย่างแม่นยำ ทำให้ลดความเสียหายต่อพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เกี่ยวข้อง การใช้งานโดรนในลักษณะนี้มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเป้าหมายสำคัญ เช่น รถถัง ปืนใหญ่ หรือผู้บัญชาการฝ่ายศัตรู

3. การโจมตีแบบพลีชีพ (Loitering Munitions)

โดรนประเภทนี้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โดรนกามิกาเซ่” ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายตัวเองพร้อมกับเป้าหมาย โดรนจะบินสำรวจพื้นที่เป้าหมาย เมื่อพบเป้าหมายที่ต้องการก็จะพุ่งชนเพื่อทำลายทันที ยุทธวิธีนี้มีประสิทธิภาพสูงในการโจมตีเป้าหมายเคลื่อนที่ที่ยากจะคาดเดา และมีราคาถูกกว่าขีปนาวุธทั่วไป ทำให้สามารถผลิตและใช้งานได้ในปริมาณมาก ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่เห็นได้ชัดเจนในสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน

4. การโจมตีแบบฝูงโดรน (Drone Swarms)

นี่คือยุทธวิธีที่ถือเป็นอนาคตของสงครามโดรน โดยใช้โดรนจำนวนมหาศาลทำงานร่วมกันเป็นทีมโดยมีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นผู้ควบคุม ฝูงโดรนเหล่านี้สามารถเอาชนะระบบป้องกันทางอากาศแบบดั้งเดิมได้ง่ายกว่าโดรนที่บินเดี่ยว เพราะมีจำนวนมากเกินกว่าที่จะถูกสกัดได้หมดภายในเวลาอันสั้น ฝูงโดรนสามารถสร้างความสับสนและทำลายขวัญกำลังใจของศัตรูได้เป็นอย่างดี

ยุทธวิธีป้องกันโดรน: การรับมือกับภัยคุกคามใหม่

เมื่อโดรนกลายเป็นอาวุธหลัก ฝ่ายรับก็ต้องพัฒนายุทธวิธีป้องกันโดรนเช่นกัน ซึ่งรวมถึง:

  • ระบบต่อต้านโดรน (Counter-Drone Systems): ใช้คลื่นวิทยุ (Jammer) เพื่อรบกวนสัญญาณควบคุมโดรน หรือใช้ระบบเลเซอร์พลังงานสูงเพื่อทำลายโดรน
  • อาวุธปืนต่อสู้อากาศยาน (Anti-aircraft guns): ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานถูกนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อยิงสกัดโดรนที่มีขนาดใหญ่และบินสูง
  • การสร้างสิ่งกีดขวาง (Physical Barriers): การติดตั้งตาข่ายหรือโครงสร้างป้องกันในพื้นที่สำคัญเพื่อสกัดกั้นโดรนโจมตี

บทสรุป

ยุทธวิธีโดรนสงคราม ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของการรบไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้การรบมีความแม่นยำ รวดเร็ว และอันตรายน้อยลงต่อชีวิตทหาร แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายใหม่ๆ ทั้งในด้านการป้องกันและประเด็นทางจริยธรรม การทำความเข้าใจยุทธวิธีเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินและเตรียมพร้อมสำหรับสงครามในยุคสมัยใหม่