เขมรเอาโดรนมาจากไหน?

เขมรเอาโดรนมาจากไหน?

กัมพูชาเอาโดรนมาจากไหน ใครเป็นคนขายให้?

เขมรเอาโดรนมาจากไหน? ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กัมพูชามีการพัฒนาและใช้งานโดรน (UAV) มากขึ้นเรื่อยๆ โดยโดรนเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้เพียงแค่เพื่อการเกษตร การสำรวจ หรือการถ่ายภาพทางอากาศเท่านั้น แต่ยังถูกนำมาใช้ในทางการทหารและการรักษาความปลอดภัยด้วยเช่นกัน

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ กัมพูชาได้โดรนเหล่านี้มาจากที่ไหน?

การจัดหาโดรนของกัมพูชา

คำตอบส่วนใหญ่คือ กัมพูชาจัดหาโดรนมาจากหลากหลายแหล่ง ทั้งจากต่างประเทศและจากความพยายามในการผลิตเองในประเทศ

  1. การนำเข้าจากจีน: จีนถือเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่สุดของกัมพูชา โดยเฉพาะในด้านยุทโธปกรณ์ทางทหาร การนำเข้าโดรนจากจีนจึงเป็นเรื่องปกติ โดรนจากจีนมีทั้งแบบที่ใช้ในเชิงพาณิชย์และแบบที่ใช้ทางการทหารโดยตรง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเมื่อปี 2021 กัมพูชาได้แสดงโดรนตรวจการณ์ขนาดใหญ่ที่ได้มาจากจีนในพิธีสวนสนาม
  2. การจัดหาจากประเทศอื่นๆ: นอกจากจีนแล้ว กัมพูชายังอาจมีการนำเข้าโดรนจากประเทศอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน แม้จะไม่มีข้อมูลที่เปิดเผยอย่างเป็นทางการมากนัก แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการจัดหาโดรนจากประเทศที่มีเทคโนโลยีโดรนที่ทันสมัยและเป็นพันธมิตรทางการค้า เช่น อิสราเอล, ตุรกี หรือแม้แต่จากผู้ผลิตรายเล็กอื่นๆ
  3. ความพยายามในการผลิตเองในประเทศ: กัมพูชามีความพยายามที่จะพัฒนาและผลิตโดรนขึ้นมาใช้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดรนขนาดเล็กที่ใช้เพื่อการเฝ้าระวังและลาดตระเวน มีรายงานข่าวเมื่อปี 2023 ว่า กองทัพบกกัมพูชากำลังพัฒนาโดรนสำหรับภารกิจทางยุทธวิธี ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่ากัมพูชามีความต้องการที่จะพึ่งพาตนเองในด้านเทคโนโลยีนี้มากขึ้น

บทสรุป

กล่าวโดยสรุปคือ กัมพูชาได้โดรนมาจากการจัดซื้อจัดจ้างจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก จีน ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญ และในขณะเดียวกันก็มีความพยายามที่จะพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อผลิตโดรนขึ้นใช้เองในประเทศมากขึ้นในอนาคต

การที่กัมพูชาหันมาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีโดรนแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของกองทัพและหน่วยงานความมั่นคงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเฝ้าระวัง การลาดตระเวน และการรวบรวมข้อมูลในยุคสมัยใหม่

โดรนสังหาร

โดรนสังหาร

โดรนสังหาร อนาคตที่น่ากลัวของสงคราม

โดรนสังหาร กลายเป็นหนึ่งในอาวุธที่สำคัญที่สุดในสงครามยุคปัจจุบัน จากเดิมที่ใช้ในการสอดแนมและสำรวจ โดรนได้พัฒนาไปไกลจนกลายเป็น “โดรนสังหาร” ที่สามารถตัดสินใจและลงมือโจมตีเป้าหมายได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดคำถามเชิงจริยธรรมและความกังวลอย่างยิ่ง


โดรนสังหารทำงานอย่างไร

โดยทั่วไปแล้ว โดรนสังหารจะติดตั้งระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ช่วยให้มันสามารถทำภารกิจได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องมีผู้ควบคุมที่เป็นมนุษย์คอยสั่งการตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อโดรนเข้าใกล้พื้นที่เป้าหมายหรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วเพื่อเอาชีวิตรอด

ตัวอย่างเทคโนโลยีที่ใช้ในโดรนสังหาร ได้แก่:

  • ระบบจดจำใบหน้าและวัตถุ: AI สามารถระบุเป้าหมายว่าเป็นศัตรูหรือพลเรือนได้จากภาพถ่ายและข้อมูลที่ป้อนเข้าไป
  • ระบบวิเคราะห์พฤติกรรม: AI สามารถวิเคราะห์การเคลื่อนไหวและพฤติกรรมของเป้าหมายเพื่อประเมินระดับภัยคุกคาม
  • ระบบหลีกเลี่ยงการป้องกันภัยทางอากาศ: AI สามารถคำนวณเส้นทางการบินเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับหรือการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม

ประเด็นด้านจริยธรรมที่น่ากังวล

การมาถึงของโดรนสังหารนำมาซึ่งความกังวลอย่างมากจากนักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง และองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายฝ่าย เนื่องจากคำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ “ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเมื่อเกิดความผิดพลาด?”

  • การตัดสินใจที่ผิดพลาด: AI อาจประมวลผลข้อมูลผิดพลาดและโจมตีพลเรือนผู้บริสุทธิ์ หรือเกิดความผิดพลาดจากปัญหาทางเทคนิค ซึ่งต่างจากมนุษย์ที่มีสำนึกและจริยธรรมในการตัดสินใจ
  • การลดคุณค่าของชีวิตมนุษย์: การปล่อยให้เครื่องจักรตัดสินใจว่าจะฆ่าใครจะทำให้คุณค่าของชีวิตมนุษย์ลดลง และอาจนำไปสู่การสังหารที่ไร้ความปราณี
  • การสร้างความไม่มั่นคง: เมื่อหลายประเทศต่างแข่งขันกันพัฒนาโดรนสังหาร จะทำให้สงครามเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นและแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเทคโนโลยีนี้ตกไปอยู่ในมือของกลุ่มก่อการร้าย

อนาคตที่ยังคงมืดมน

ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายระหว่างประเทศที่ชัดเจนในการควบคุมหรือห้ามการใช้ โดรนสังหาร อย่างเป็นทางการ แม้ว่าจะมีหลายฝ่ายพยายามผลักดันให้มีการลงนามในสนธิสัญญาเพื่อควบคุมอาวุธประเภทนี้

เทคโนโลยีโดรนสังหารเปรียบเสมือนกล่องของแพนโดร่าที่ถูกเปิดออกแล้ว และคำถามสำคัญที่ท้าทายมนุษยชาติในตอนนี้ก็คือ เราจะจัดการกับอนาคตที่ AI สามารถตัดสินใจฆ่าคนได้ด้วยตัวเองอย่างไร เพื่อไม่ให้สงครามในอนาคตกลายเป็นเรื่องน่ากลัวกว่าที่เคยเป็นมา

CAAT ผ่อนปรนโดรนเกษตร

CAAT ผ่อนปรนโดรนเกษตร

CAAT ประกาศผ่อนปรนเฉพาะโดรนเกษตร 11 ส.ค. เป็นต้นไป ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ.

CAAT ผ่อนปรนโดรนเกษตร

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศฉบับที่ 3 ยังคงห้ามทำการบินอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (โดรน) ทุกประเภททั่วราชอาณาจักร จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2568 หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยทางการบินในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป CAAT จะผ่อนปรนอนุญาตเฉพาะการบินโดรนเพื่อการเกษตร ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ได้แก่

• ผู้บังคับโดรนและตัวโดรนต้องขึ้นทะเบียนกับ CAAT ครบถ้วน และยังไม่หมดอายุ

• ได้รับอนุญาตปฏิบัติการบินเพื่อการเกษตรจาก CAAT

• ไม่มีประวัติฝ่าฝืนหรือถูกเพิกถอนสิทธิการบิน

• ทำการบินได้เฉพาะในพื้นที่เกษตรของตน หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่

• แจ้งการบินล่วงหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์ uasportal.caat.or.th หรือแอปพลิเคชัน UAS Portal ของ CAAT และอีเมล ศตอ.น. antidrone.police@gmail.com และตำรวจท้องที่ หรือกำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน

• ความสูงการบินไม่เกิน 30 เมตร

• ทำการบินได้ระหว่างเวลา 06.00–18.00 น. เท่านั้น (ห้ามบินกลางคืน)

• ใช้เพื่อโปรย หว่าน สารอินทรีย์ สารอนินทรีย์ สารเคมี เพื่อการเกษตร น้ำ หรือปุ๋ยเท่านั้น ห้ามใช้เพื่อถ่ายภาพหรือสำรวจ

ทั้งนี้ CAAT ได้กำหนดพื้นที่ห้ามทำการบินโดรนทุกประเภทโดยเด็ดขาด ได้แก่ พื้นที่หวงห้าม/อันตรายตามที่ประกาศใน AIP Thailand (16 พื้นที่หลัก เช่น ศรีษะเกษ, นครสวรรค์, จันทบุรี, ตราด, ราชบุรี, นครราชสีมา, อุบล ฯลฯ) จังหวัดชายแดนที่ประกาศกฎอัยการศึก หรือมีกองกำลังปฏิบัติการภาคพื้น (7 จังหวัด) อำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี, อำเภอเมือง จ.ระยอง, รัศมี 9 กิโลเมตรรอบสนามบินและจุดขึ้นลงอากาศยานทุกแห่ง และพื้นที่ที่หน่วยงานความมั่นคงประกาศเป็นการเฉพาะเพิ่มเติม

ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเจ้าหน้าที่มีอำนาจทำลายหรือตอบโต้อากาศยาน รวมถึงใช้ระบบต่อต้านอากาศยานไร้นักบิน (Anti-Drone System) ได้

หากมีข้อสงสัยหรือพบการฝ่าฝืน สามารถแจ้งได้ที่ CAAT โทร. 02-568-8851 (ในเวลาราชการ) อีเมล uas_us@caat.or.th หรือ ศตอ.น. โทร. 02-126-7846 อีเมล antidrone.police@gmail.com รวมถึงสถานีตำรวจ หน่วยทหาร หรือหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่

ที่มา: https://www.caat.or.th/th

ตาข่ายจับโดรน

ตาข่ายจับโดรน

ตาข่ายดักจับโดรน: โซลูชันที่เงียบสงบแต่มีประสิทธิภาพ

ตาข่ายจับโดรน , ในโลกที่โดรน (UAV) มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการถ่ายภาพ, การส่งของ, การเกษตร หรือแม้กระทั่งการสอดแนม ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ ด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโดรนถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด หรือบินเข้าสู่พื้นที่หวงห้าม เช่น สนามบิน, สถานที่ราชการ, หรือคุก วิธีการดั้งเดิมในการจัดการกับโดรน เช่น การยิงตก อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือชีวิตได้ จึงทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่เงียบสงบและปลอดภัยกว่าขึ้นมา นั่นก็คือ ตาข่ายดักจับโดรน


ตาข่ายดักจับโดรนคืออะไร?

ตาข่ายดักจับโดรนคือระบบที่ใช้ในการจับและควบคุมโดรนที่ไม่ได้รับอนุญาตโดยไม่ทำให้โดรนหรือสิ่งแวดล้อมโดยรอบได้รับความเสียหาย ระบบนี้ทำงานโดยการยิงตาข่ายขนาดใหญ่ไปคลุมโดรน ทำให้ใบพัดพันกับตาข่ายและไม่สามารถบินต่อไปได้ ซึ่งแตกต่างจากวิธีการยิงตกที่อาจทำให้โดรนตกลงมาอย่างควบคุมไม่ได้

โดยทั่วไปแล้ว ระบบตาข่ายดักจับโดรนจะประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก ๆ ดังนี้:

  • เครื่องยิงตาข่าย (Net Launcher): เป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการปล่อยตาข่าย อาจเป็นปืนที่ใช้แรงดันอากาศ, ก๊าซอัด, หรือระบบสปริง เพื่อยิงตาข่ายออกไปในระยะทางที่กำหนด
  • ตาข่าย (Net): ทำจากวัสดุที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรง เช่น ไนลอนหรือโพลีเอทิลีน มีการออกแบบพิเศษให้กางออกและครอบคลุมโดรนได้อย่างรวดเร็วเมื่อถูกยิงออกไป
  • ระบบค้นหาและติดตามเป้าหมาย: ระบบที่ซับซ้อนกว่าจะใช้เรดาร์, กล้องอินฟราเรด, หรือเซ็นเซอร์อื่น ๆ ในการตรวจจับและล็อกเป้าหมายโดรนโดยอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการยิง

ประเภทของตาข่ายดักจับโดรน

ตาข่ายดักจับโดรนไม่ได้มีเพียงแค่แบบเดียว แต่มีการพัฒนาให้เหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้:

  • ตาข่ายแบบยิงจากพื้น (Ground-based Net Launcher): เป็นระบบที่ใช้โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรือผู้ที่ดูแลพื้นที่หวงห้าม ใช้งานง่ายและเหมาะสำหรับการป้องกันพื้นที่ขนาดเล็กหรือเป้าหมายที่อยู่ใกล้
  • โดรนติดตาข่าย (Net-wielding Drone): เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่าสนใจ โดยใช้โดรนอีกตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่า บินเข้าใกล้โดรนเป้าหมาย จากนั้นก็ปล่อยตาข่ายออกจากตัวมันเองเพื่อจับโดรนเป้าหมาย วิธีนี้มีข้อได้เปรียบคือสามารถไล่ตามและจับโดรนที่บินอยู่ในระดับความสูงที่ยากจะเข้าถึงจากพื้นได้
  • ปืนตาข่าย (Net Gun): มีลักษณะคล้ายปืนทั่วไป แต่ใช้ยิงตาข่ายออกไป เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับโดรนในระยะใกล้หรือในพื้นที่ที่จำกัด

ข้อดีของการใช้ตาข่ายดักจับโดรน

การใช้ตาข่ายดักจับโดรนมีข้อได้เปรียบหลายประการที่ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าวิธีการอื่น ๆ:

  • ปลอดภัย: ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโดรนหรือทรัพย์สินรอบข้าง เนื่องจากโดรนจะถูกจับและตกลงมาอย่างช้า ๆ หรือถูกนำกลับมาอย่างปลอดภัย
  • เงียบสงบ: การทำงานของระบบตาข่ายดักจับโดรนส่วนใหญ่เงียบกว่าการใช้อาวุธปืน ทำให้สามารถใช้งานในพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวได้
  • มีประสิทธิภาพ: สามารถดักจับโดรนได้หลากหลายขนาดและประเภท ตราบใดที่ตาข่ายมีขนาดใหญ่พอที่จะครอบคลุมโดรนได้
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ไม่ทิ้งสารเคมีหรือซากกระสุนที่เป็นอันตรายเหมือนกับวิธีการยิงตกแบบดั้งเดิม

สรุป

ตาข่ายดักจับโดรนเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างในการจัดการกับภัยคุกคามจากโดรนอย่างชาญฉลาดและปลอดภัย การทำงานที่เงียบสงบและประสิทธิภาพสูงทำให้ระบบนี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและผู้ที่ดูแลพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกรุกล้ำจากโดรนในอนาคต

โดรนใต้น้ำ

โดรนใต้น้ำ

โดรนใต้น้ำ: นวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกใต้สมุทร

โลกใต้สมุทรยังคงเป็นดินแดนลึกลับที่เราสำรวจไปได้เพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดรนใต้น้ำ หรือ Remotely Operated Vehicle (ROV) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปิดเผยความลับเหล่านี้ และทำภารกิจที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง

โดรนใต้น้ำคืออะไร?

โดรนใต้น้ำ เป็นยานพาหนะขนาดเล็กที่ควบคุมจากระยะไกล โดยทั่วไปจะประกอบด้วยกล้องวิดีโอความละเอียดสูง ไฟส่องสว่าง และแขนกลสำหรับหยิบจับสิ่งของ โดรนใต้น้ำจะเชื่อมต่อกับผู้ควบคุมบนเรือหรือบนบกด้วยสายเคเบิล (Tether) ที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลและพลังงาน ทำให้ผู้ควบคุมสามารถมองเห็นและสั่งการโดรนได้แบบเรียลไทม์

ประโยชน์ของโดรนใต้น้ำ

โดรนใต้น้ำถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมและภารกิจสำคัญ เช่น:

  • การสำรวจทางวิทยาศาสตร์: นักวิทยาศาสตร์ใช้โดรนใต้น้ำในการสำรวจระบบนิเวศใต้ทะเล ศึกษาพฤติกรรมสัตว์น้ำ และเก็บตัวอย่างจากก้นทะเลลึก ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์
  • การตรวจสอบโครงสร้างใต้ทะเล: ในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ โดรนใต้น้ำใช้ในการตรวจสอบท่อส่งก๊าซ แท่นขุดเจาะน้ำมัน และโครงสร้างใต้น้ำอื่น ๆ เพื่อหาจุดบกพร่องหรือความเสียหาย
  • การกู้ภัยและค้นหา: เมื่อเกิดเหตุการณ์เรืออับปางหรือเครื่องบินตกในทะเล โดรนใต้น้ำสามารถช่วยในการค้นหาผู้สูญหายและสำรวจซากเรือในบริเวณที่เป็นอันตรายเกินกว่าที่นักประดาน้ำจะเข้าถึงได้
  • การสำรวจแหล่งโบราณคดีใต้น้ำ: นักโบราณคดีใช้โดรนใต้น้ำในการสำรวจซากเรือโบราณและโบราณวัตถุที่จมอยู่ใต้ทะเล เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในอดีต

ความก้าวหน้าในปัจจุบัน

ปัจจุบัน โดรนใต้น้ำมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านขนาดที่เล็กลง ความคล่องตัวที่มากขึ้น และการทำงานที่ยาวนานขึ้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบการควบคุมที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ทำให้โดรนสามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ (Autonomous Underwater Vehicle – AUV) ในบางภารกิจโดยไม่ต้องใช้สายเคเบิลเชื่อมต่อกับผู้ควบคุมตลอดเวลา

อนาคตของโดรนใต้น้ำ

อนาคตของโดรนใต้น้ำดูสดใสมาก เทคโนโลยีเหล่านี้จะยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสำรวจโลกใต้สมุทร และจะถูกนำไปใช้ในงานที่หลากหลายมากขึ้น เช่น การทำประมงอัจฉริยะ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเล การตรวจสอบมลพิษ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล


สรุปได้ว่า โดรนใต้น้ำไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่น่าทึ่ง แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่เปิดประตูสู่โลกใต้น้ำที่เรายังไม่รู้จัก ทำให้เราเข้าใจและสามารถปกป้องทรัพยากรทางทะเลที่มีค่าของเราได้ดีขึ้น

จดทะเบียนโดรน และ ขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรน

จดทะเบียนโดรน และ ขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรน

จดทะเบียนโดรน และ ขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรน ,ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีโดรนเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพมุมสูง การสำรวจ หรือแม้กระทั่งการขนส่ง การใช้งานโดรนอย่างถูกกฎหมายและปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานโดรนในประเทศไทย การ จดทะเบียนโดรน และ ขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรน เป็นขั้นตอนที่จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย


ทำไมต้องจดทะเบียนโดรน?

การจดทะเบียนโดรนกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) และการขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรนกับ กพท. มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อควบคุมและกำกับดูแลการใช้งานโดรนให้เป็นไปอย่างมีระเบียบและปลอดภัย ป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การบินเข้าไปในเขตหวงห้าม การละเมิดความเป็นส่วนตัว หรือการก่อให้เกิดอุบัติเหตุกับอากาศยานอื่น ๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถตรวจสอบและติดตามผู้บังคับโดรนได้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์


โดรนแบบไหนที่ต้องจดทะเบียน?

ตามประกาศของ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT  กำหนดให้โดรนที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ต้องทำการจดทะเบียน:

  • โดรนที่มีน้ำหนักเกิน 2 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 25 กิโลกรัม
  • โดรนที่ติดตั้งกล้อง ไม่ว่าจะมีน้ำหนักเท่าไหร่ก็ตาม

หากโดรนของคุณมีคุณสมบัติตรงตามข้อใดข้อหนึ่งข้างต้น การจดทะเบียนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย


ขั้นตอนการจดทะเบียนโดรนและขึ้นทะเบียนผู้บังคับ

การดำเนินการจดทะเบียนสามารถทำได้ผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ของ กพท. ซึ่งมีขั้นตอนโดยสรุปดังนี้:

1. การเตรียมเอกสาร

  • สำหรับโดรน: สำเนาหลักฐานการครอบครองโดรน (เช่น ใบเสร็จรับเงิน, สัญญาซื้อขาย), ภาพถ่ายโดรนที่มีหมายเลข Serial Number
  • สำหรับผู้บังคับโดรน: สำเนาบัตรประชาชน, รูปถ่ายหน้าตรง, เอกสารรับรองคุณสมบัติทางด้านการบิน (สำหรับโดรนที่มีน้ำหนักเกิน 25 กิโลกรัมขึ้นไป)

2. การยื่นคำขอออนไลน์

  • เข้าสู่เว็บไซต์ของ กพท. และกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กำหนด
  • อัปโหลดเอกสารที่เตรียมไว้
  • ชำระค่าธรรมเนียม

3. การรอผลการพิจารณา

  • เจ้าหน้าที่ของ กพท. จะทำการตรวจสอบเอกสารและพิจารณาคำขอ
  • หากคำขอได้รับการอนุมัติ คุณจะได้รับใบอนุญาตจดทะเบียนโดรนและใบอนุญาตผู้บังคับโดรนทางอีเมล

การจดทะเบียนโดรนและขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรนเป็นเรื่องที่ผู้ใช้งานโดรนทุกคนควรให้ความสำคัญ เพื่อให้สามารถใช้งานโดรนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและปลอดภัยต่อตนเองและผู้อื่น หากคุณกำลังวางแผนที่จะซื้อหรือใช้งานโดรน อย่าลืมดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อความสบายใจในการบิน


รายละเอียดเพิ่มเติม https://uasportal.caat.or.th/

ฝ่ายมาตรฐานอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (UAS)

UAS Portal (uasportal.caat.or.th) 

อีเมล : uav@caat.or.th

โทร. : 0 2 568 8851

ป้องกันโดรนสอดแนม

ป้องกันโดรนสอดแนม

วิธีป้องกันโดรนสอดแนม

ป้องกันโดรนสอดแนม ทุกวันนี้โดรนถูกนำมาใช้ในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการถ่ายภาพ การสำรวจพื้นที่ หรือแม้กระทั่งการส่งของ แต่ในทางกลับกันก็มีการนำโดรนมาใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การสอดแนมหรือการรบกวนความเป็นส่วนตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลสำหรับหลาย ๆ คน บทความนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีป้องกันโดรนสอดแนมที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง

1. ใช้เทคโนโลยีตรวจจับโดรน

ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยในการตรวจจับโดรนได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งสามารถช่วยให้คุณรู้ตัวได้ทันทีหากมีโดรนบินเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของคุณ

  • เรดาร์ (Radar): เรดาร์ถูกนำมาใช้ในการตรวจจับวัตถุเคลื่อนที่ ซึ่งรวมถึงโดรนด้วย ระบบนี้จะทำงานโดยการส่งคลื่นวิทยุออกไปและรอรับคลื่นที่สะท้อนกลับมา หากมีโดรนบินผ่านก็จะถูกตรวจจับได้ทันที
  • เซ็นเซอร์คลื่นความถี่วิทยุ (RF Sensors): โดรนส่วนใหญ่จะใช้คลื่นความถี่วิทยุในการสื่อสารกับผู้ควบคุม เซ็นเซอร์ประเภทนี้จะทำหน้าที่ตรวจจับและวิเคราะห์สัญญาณเหล่านั้น เพื่อระบุว่ามีโดรนบินอยู่ในบริเวณใกล้เคียงหรือไม่
  • กล้องตรวจจับด้วยสายตา (Visual Camera Detection): ระบบนี้ใช้กล้องความละเอียดสูงร่วมกับซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพเพื่อตรวจจับโดรนที่บินผ่านเข้ามาในรัศมีที่กำหนดไว้

2. สร้างสิ่งกีดขวางทางกายภาพ

หากคุณไม่ต้องการให้โดรนบินเข้ามาในพื้นที่ของคุณ การสร้างสิ่งกีดขวางทางกายภาพก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผล

  • ปลูกต้นไม้สูง ๆ: การปลูกต้นไม้หรือพุ่มไม้สูง ๆ รอบบ้านหรือบริเวณที่ต้องการความเป็นส่วนตัว จะช่วยบดบังทัศนวิสัยไม่ให้โดรนสามารถบินเข้ามาถ่ายภาพได้ง่าย ๆ
  • ติดตั้งหลังคาหรือกันสาด: การติดตั้งหลังคาหรือกันสาดเหนือบริเวณที่ใช้งาน เช่น สระว่ายน้ำ หรือลานกิจกรรม จะช่วยป้องกันไม่ให้โดรนสามารถมองเห็นจากมุมสูงได้

3. ใช้มาตรการทางอิเล็กทรอนิกส์

มาตรการเหล่านี้เป็นการรบกวนสัญญาณของโดรน ทำให้โดรนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ แต่ควรใช้อย่างระมัดระวังและศึกษาข้อกฎหมายให้ดีก่อนใช้งาน

  • อุปกรณ์รบกวนสัญญาณ (Signal Jammer): อุปกรณ์นี้จะปล่อยคลื่นความถี่วิทยุเพื่อรบกวนการสื่อสารระหว่างโดรนกับผู้ควบคุม ทำให้โดรนสูญเสียการควบคุมและต้องลงจอดฉุกเฉิน
  • การแฮ็กควบคุมโดรน (Drone Hacking): เป็นการใช้ซอฟต์แวร์เพื่อเข้าควบคุมการทำงานของโดรนจากระยะไกล ซึ่งถือเป็นวิธีที่ซับซ้อนและควรใช้โดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

4. การจัดการและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

นอกเหนือจากวิธีทางเทคนิคแล้ว การจัดการและทำความเข้าใจข้อกฎหมายก็เป็นสิ่งสำคัญ

  • แจ้งความกับตำรวจ: หากคุณพบว่ามีโดรนสอดแนมและรู้สึกว่าถูกคุกคามความเป็นส่วนตัว คุณสามารถรวบรวมหลักฐาน เช่น รูปภาพหรือวิดีโอ แล้วนำไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
  • ทำความเข้าใจกฎหมายควบคุมโดรน: ในประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้โดรนอย่างชัดเจน ผู้ใช้โดรนต้องขึ้นทะเบียนและปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนด การทำความเข้าใจในส่วนนี้จะช่วยให้คุณสามารถปกป้องสิทธิ์ของตนเองได้อย่างถูกต้อง

การป้องกันโดรนสอดแนมเป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ เพราะการถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวไม่เพียงแต่สร้างความรำคาญใจ แต่ยังอาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ได้ การเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมและเป็นไปตามข้อกฎหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ยุทธวิธีโดรนสงคราม

ยุทธวิธีโดรนสงคราม

ยุทธวิธีโดรนสงคราม: กลยุทธ์ที่พลิกโฉมสนามรบ

การเข้ามาของโดรน (Drone) หรืออากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicles – UAVs) ได้ปฏิวัติแนวคิดและยุทธวิธีในการทำสงครามไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่ถูกมองว่าเป็นเพียงเครื่องมือเสริม ปัจจุบันโดรนได้กลายเป็นปัจจัยชี้ขาดในหลายสมรภูมิ และทำให้กองทัพต่างๆ ทั่วโลกต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่นี้

ยุทธวิธีโดรนสงครามสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ขึ้นอยู่กับภารกิจและเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ ดังนี้

1. การสอดแนมและรวบรวมข่าวกรอง (Intelligence, Surveillance, and Reconnaissance – ISR)

นี่คือบทบาทดั้งเดิมของโดรนที่ยังคงมีความสำคัญสูงสุด โดรนสอดแนม สามารถบินเข้าสู่พื้นที่อันตรายเพื่อเก็บข้อมูลภาพถ่ายความละเอียดสูง, วิดีโอ, และข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ โดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตนักบิน ข้อมูลที่ได้จะถูกส่งกลับมายังศูนย์บัญชาการแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้บัญชาการมี “ภาพรวมของสนามรบ” ที่ชัดเจนและทันท่วงที ช่วยในการตัดสินใจทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีได้อย่างแม่นยำ เช่น โดรน RQ-4 Global Hawk ของสหรัฐฯ ที่สามารถบินได้นานและครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่

2. การโจมตีแบบแม่นยำ (Precision Strikes)

โดรนติดอาวุธ (Armed Drones) เช่น MQ-9 Reaper หรือ TB2 Bayraktar ได้กลายเป็นอาวุธหลักในการโจมตีเป้าหมายที่มีมูลค่าสูง โดรนเหล่านี้สามารถบินวนอยู่เหนือเป้าหมายเป็นเวลานาน รอจังหวะที่เหมาะสมที่สุดเพื่อทำการโจมตีด้วยจรวดนำวิถีหรือระเบิดขนาดเล็กได้อย่างแม่นยำ ทำให้ลดความเสียหายต่อพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เกี่ยวข้อง การใช้งานโดรนในลักษณะนี้มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเป้าหมายสำคัญ เช่น รถถัง ปืนใหญ่ หรือผู้บัญชาการฝ่ายศัตรู

3. การโจมตีแบบพลีชีพ (Loitering Munitions)

โดรนประเภทนี้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โดรนกามิกาเซ่” ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายตัวเองพร้อมกับเป้าหมาย โดรนจะบินสำรวจพื้นที่เป้าหมาย เมื่อพบเป้าหมายที่ต้องการก็จะพุ่งชนเพื่อทำลายทันที ยุทธวิธีนี้มีประสิทธิภาพสูงในการโจมตีเป้าหมายเคลื่อนที่ที่ยากจะคาดเดา และมีราคาถูกกว่าขีปนาวุธทั่วไป ทำให้สามารถผลิตและใช้งานได้ในปริมาณมาก ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่เห็นได้ชัดเจนในสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน

4. การโจมตีแบบฝูงโดรน (Drone Swarms)

นี่คือยุทธวิธีที่ถือเป็นอนาคตของสงครามโดรน โดยใช้โดรนจำนวนมหาศาลทำงานร่วมกันเป็นทีมโดยมีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นผู้ควบคุม ฝูงโดรนเหล่านี้สามารถเอาชนะระบบป้องกันทางอากาศแบบดั้งเดิมได้ง่ายกว่าโดรนที่บินเดี่ยว เพราะมีจำนวนมากเกินกว่าที่จะถูกสกัดได้หมดภายในเวลาอันสั้น ฝูงโดรนสามารถสร้างความสับสนและทำลายขวัญกำลังใจของศัตรูได้เป็นอย่างดี

ยุทธวิธีป้องกันโดรน: การรับมือกับภัยคุกคามใหม่

เมื่อโดรนกลายเป็นอาวุธหลัก ฝ่ายรับก็ต้องพัฒนายุทธวิธีป้องกันโดรนเช่นกัน ซึ่งรวมถึง:

  • ระบบต่อต้านโดรน (Counter-Drone Systems): ใช้คลื่นวิทยุ (Jammer) เพื่อรบกวนสัญญาณควบคุมโดรน หรือใช้ระบบเลเซอร์พลังงานสูงเพื่อทำลายโดรน
  • อาวุธปืนต่อสู้อากาศยาน (Anti-aircraft guns): ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานถูกนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อยิงสกัดโดรนที่มีขนาดใหญ่และบินสูง
  • การสร้างสิ่งกีดขวาง (Physical Barriers): การติดตั้งตาข่ายหรือโครงสร้างป้องกันในพื้นที่สำคัญเพื่อสกัดกั้นโดรนโจมตี

บทสรุป

ยุทธวิธีโดรนสงคราม ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของการรบไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้การรบมีความแม่นยำ รวดเร็ว และอันตรายน้อยลงต่อชีวิตทหาร แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายใหม่ๆ ทั้งในด้านการป้องกันและประเด็นทางจริยธรรม การทำความเข้าใจยุทธวิธีเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินและเตรียมพร้อมสำหรับสงครามในยุคสมัยใหม่

สงครามยุคใหม่… กองทัพโดรน

สงครามยุคใหม่… กองทัพโดรน

สงครามยุคใหม่… กองทัพโดรน หรืออากาศยานไร้คนขับ ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการทหาร แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ทำให้โดรนกลายเป็น อาวุธหลัก และเป็นตัวแปรสำคัญในสนามรบยุคใหม่

จากเครื่องบินสอดแนม สู่ “นักล่า” ที่แม่นยำ

ในอดีต โดรนถูกใช้เพื่อภารกิจสอดแนมและลาดตระเวนเป็นหลัก เพราะสามารถเข้าถึงพื้นที่อันตรายได้โดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตนักบิน แต่เทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ทำให้โดรนในปัจจุบันไม่ได้เป็นแค่ “ดวงตา” บนท้องฟ้าอีกต่อไป

  • ความสามารถในการโจมตี: โดรนยุคใหม่ สามารถติดตั้งอาวุธได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นจรวดนำวิถี ระเบิดขนาดเล็ก หรือแม้แต่ใช้ตัวโดรนเองเป็นระเบิดพลีชีพ (loitering munitions)
  • ความแม่นยำสูง: ด้วยระบบนำทางด้วยดาวเทียม (GPS) และเซ็นเซอร์ที่ทันสมัย ทำให้โดรนสามารถโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อพลเรือน
  • ต้นทุนต่ำ: โดรนบางรุ่นมีราคาถูกกว่าขีปนาวุธทั่วไปมาก ทำให้สามารถผลิตและใช้งานได้ในปริมาณมหาศาล

กองทัพโดรน: พลิกโฉมสนามรบ

การนำโดรนมาใช้งานในสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ “กองทัพโดรน”

  • โดรนขนาดเล็ก (Commercial Drones): โดรนที่หาซื้อได้ทั่วไปถูกนำมาดัดแปลงเพื่อใช้ในภารกิจสอดแนมและทิ้งระเบิดขนาดเล็ก กลายเป็นอาวุธราคาประหยัดที่มีประสิทธิภาพสูง
  • โดรนติดอาวุธ (Armed Drones): โดรนติดอาวุธ ขนาดใหญ่ถูกใช้เพื่อโจมตีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ เช่น รถถัง ปืนใหญ่ และฐานทัพศัตรู
  • โดรนทะเล (Maritime Drones): โดรนที่ปฏิบัติการในทะเลถูกนำมาใช้เพื่อโจมตีเรือรบและโครงสร้างพื้นฐานทางทะเล สร้างความเสียหายให้กับกองทัพเรืออย่างมีนัยสำคัญ

ผลกระทบต่อยุทธศาสตร์การรบ

การเข้ามาของโดรนได้สร้างความท้าทายใหม่ๆ และเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์การรบแบบดั้งเดิม

  • การกระจายอำนาจการโจมตี: ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องบินรบราคาแพงเพื่อโจมตีเป้าหมายเล็กๆ อีกต่อไป โดรนทำให้หน่วยรบขนาดเล็กสามารถมีอำนาจการยิงที่เคยมีเฉพาะในระดับกองพล
  • การทำลายขวัญและกำลังใจ: การถูกโจมตีจากโดรนที่ไม่สามารถมองเห็นได้ สร้างความหวาดกลัวและความไม่แน่นอนให้กับทหารในสนามรบ
  • ความท้าทายด้านการป้องกัน: การรับมือกับโดรนจำนวนมากที่มีขนาดเล็กและเคลื่อนที่รวดเร็วเป็นเรื่องยากและต้องอาศัยระบบป้องกันทางอากาศที่ซับซ้อน

อนาคตของสงคราม: ฝูงโดรนและปัญญาประดิษฐ์

ในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะได้เห็นการรบที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยมี “ฝูงโดรน” (Drone Swarms) ที่ควบคุมด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทสำคัญ

  • ฝูงโดรน: โดรนหลายร้อยหรือหลายพันลำที่ทำงานร่วมกันเป็นทีม สามารถเอาชนะระบบป้องกันทางอากาศได้ง่ายกว่าโดรนที่บินเดี่ยว
  • ปัญญาประดิษฐ์: AI จะช่วยให้โดรนสามารถตัดสินใจในสนามรบได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องรอคำสั่งจากมนุษย์ ทำให้การตอบสนองต่อสถานการณ์รวดเร็วยิ่งขึ้น

บทสรุป

สงครามยุคใหม่ ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยจำนวนรถถังหรือเครื่องบินรบอีกต่อไป แต่เป็นการช่วงชิงความได้เปรียบด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กองทัพโดรน” ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดรนไม่เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการทำสงคราม แต่ยังท้าทายกฎเกณฑ์และจริยธรรมของสงครามที่เราเคยรู้จักไปอย่างสิ้นเชิง

โดรนติดอาวุธ

โดรนติดอาวุธ

โดรนติดอาวุธ ( Drone )

โดรนติดอาวุธ หรืออากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicles – UAVs) ได้กลายเป็นอาวุธสำคัญที่พลิกโฉมหน้าการทำสงครามในยุคสมัยใหม่ จากเดิมที่เคยเป็นเพียงเทคโนโลยีเพื่อการสอดแนมและลาดตระเวน ปัจจุบันโดรนได้พัฒนาไปสู่เครื่องจักรสังหารที่มีประสิทธิภาพสูงและมีความแม่นยำในการโจมตีเป้าหมาย


ประวัติและวิวัฒนาการของ โดรนติดอาวุธ

แนวคิดเรื่องโดรนมีมานานแล้วตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเริ่มจากการนำเครื่องบินมาดัดแปลงเป็น “ตอร์ปิโดทางอากาศ” ที่สามารถบินและโจมตีเป้าหมายได้เองในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม โดรนเริ่มถูกพัฒนาอย่างจริงจังเพื่อใช้ในภารกิจทางทหารที่ “น่าเบื่อ สกปรก และอันตราย” เกินไปสำหรับนักบินมนุษย์

ในช่วงสงครามเย็น โดรนถูกใช้เพื่อภารกิจสอดแนมเป็นหลัก และถูกจำกัดบทบาทในการรบ จนกระทั่งในยุคหลังสงคราม 9/11 สหรัฐอเมริกาได้พัฒนาโดรนติดอาวุธอย่างจริงจัง เช่น MQ-1 Predator และ MQ-9 Reaper ซึ่งสามารถติดตั้งขีปนาวุธและโจมตีเป้าหมายจากระยะไกลได้ ทำให้โดรนกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อต้านการก่อการร้าย

ในปัจจุบัน เทคโนโลยีโดรนได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ทำให้มีโดรนหลากหลายประเภท รวมถึงโดรนพาณิชย์ขนาดเล็กที่สามารถดัดแปลงติดอาวุธได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา “โดรนกามิกาเซ่” หรือ Loitering Munitions ซึ่งเป็นโดรนที่ออกแบบมาเพื่อพุ่งชนและระเบิดตัวเองเข้าใส่เป้าหมายโดยเฉพาะ


บทบาทของโดรนติดอาวุธในสงครามสมัยใหม่

โดรนติดอาวุธมีบทบาทสำคัญในความขัดแย้งทั่วโลก โดยมีข้อดีที่เหนือกว่าเครื่องบินรบแบบมีคนขับหลายประการ:

  • ลดความเสี่ยงต่อชีวิตทหาร: โดรนช่วยให้สามารถปฏิบัติภารกิจในพื้นที่อันตรายได้โดยไม่ต้องส่งนักบินเข้าสู่สมรภูมิ
  • ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติการ: โดรนสามารถบินอยู่บนอากาศได้เป็นเวลานานเพื่อเฝ้าระวังและโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
  • ต้นทุนที่ต่ำกว่า: โดรนมีราคาถูกกว่าเครื่องบินรบแบบดั้งเดิม ทำให้ประเทศที่มีงบประมาณจำกัดสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีทางทหารที่ทันสมัยได้

อย่างไรก็ตาม การใช้โดรนติดอาวุธก็สร้างผลกระทบที่ซับซ้อนตามมาเช่นกัน โดยเฉพาะในสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ทั้งสองฝ่ายต่างใช้โดรนอย่างแพร่หลาย ทั้งโดรนเพื่อการสอดแนม, โดรนเพื่อการโจมตี, และโดรนกามิกาเซ่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรบ


ข้อถกเถียงด้านจริยธรรม

การใช้โดรนติดอาวุธก่อให้เกิดข้อถกเถียงด้านจริยธรรมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า:

  • การโจมตีพลเรือน: แม้โดรนจะมีระบบกำหนดเป้าหมายที่แม่นยำ แต่ก็มีความเสี่ยงที่การโจมตีจะส่งผลกระทบต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ได้
  • ความเป็นมนุษย์ในการตัดสินใจสังหาร: การใช้โดรนจากระยะไกลทำให้ผู้ควบคุมอาจขาดความเข้าใจในบริบทของสถานการณ์จริงบนภาคพื้นดิน และลดทอนความเป็นมนุษย์ในการตัดสินใจใช้ความรุนแรง
  • การพัฒนาโดรนอัตโนมัติ: ในอนาคต มีการคาดการณ์ว่าจะมีการพัฒนาโดรนที่สามารถตัดสินใจโจมตีเป้าหมายได้เองโดยไม่ต้องมีการควบคุมจากมนุษย์ ซึ่งก่อให้เกิดคำถามที่สำคัญอย่างยิ่งต่อกฎหมายและศีลธรรมในการทำสงคราม

จากบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ โดรนติดอาวุธ ทำให้หลายประเทศกำลังเร่งพัฒนาทั้งเทคโนโลยีโดรนของตัวเองและระบบต่อต้านโดรนเพื่อรับมือกับภัยคุกคามใหม่นี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโดรนได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์การรบและการป้องกันประเทศไปอย่างสิ้นเชิง