ระบบตรวจจับและติดตาม Drone Locator

Drone Locator

การระบุตำแหน่งผู้บินโดรนด้วยระบบตรวจจับและติดตาม Drone Locator

ระบบตรวจจับและติดตาม Drone Locator การเติบโตอย่างรวดเร็วของการใช้โดรน (Unmanned Aerial Vehicle – UAV) ทั้งในเชิงพาณิชย์และส่วนบุคคล ได้ก่อให้เกิดความท้าทายใหม่ๆ ด้านความปลอดภัยและความมั่นคง หลายกรณีของการบินโดรนในพื้นที่ห้ามบิน เช่น ใกล้สนามบินหรือสถานที่สำคัญทางราชการ ทำให้เกิดความต้องการเทคโนโลยีที่สามารถ ตรวจจับและระบุตำแหน่งของโดรนและผู้บังคับโดรน (Drone Locator) ได้อย่างแม่นยำ

ระบบตรวจจับและติดตามโดรนคืออะไร?

ระบบตรวจจับและติดตามโดรน หรือ Drone Locator คือเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อเฝ้าระวัง ตรวจจับ และระบุตำแหน่งของโดรนที่บินอยู่ในน่านฟ้า ระบบเหล่านี้ประกอบด้วยหลายส่วนสำคัญที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่:

  • เซนเซอร์รับสัญญาณ (RF Sensor): ทำหน้าที่ตรวจจับคลื่นวิทยุ (Radio Frequency – RF) ที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างโดรนกับผู้บังคับโดรน สัญญาณเหล่านี้เป็น “ลายเซ็น” เฉพาะที่สามารถระบุยี่ห้อและรุ่นของโดรนได้
  • เรดาร์ (Radar): ใช้ตรวจจับวัตถุบินขนาดเล็กอย่างโดรน โดยสามารถระบุตำแหน่ง ระยะทาง และความเร็วได้
  • กล้องออปติคอลและอินฟราเรด (Optical and Infrared Cameras): ใช้ในการยืนยันตัวตนของโดรนด้วยภาพถ่ายหรือวิดีโอ โดยเฉพาะในสภาพแสงน้อยหรือเวลากลางคืน
  • เทคโนโลยีวิเคราะห์สัญญาณ (Signal Analysis): ระบบจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากเซนเซอร์เพื่อแยกแยะสัญญาณของโดรนออกจากสัญญาณรบกวนอื่นๆ และสามารถระบุตำแหน่งของผู้บังคับโดรนได้

การทำงานของระบบ Drone Locator ในการระบุตำแหน่งผู้บิน

การระบุตำแหน่งของผู้บังคับโดรนเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนกว่าการระบุตำแหน่งของตัวโดรนเอง โดยทั่วไปแล้วระบบจะทำงานตามขั้นตอนดังนี้:

  1. ตรวจจับสัญญาณควบคุม: ระบบจะใช้เซนเซอร์รับคลื่นวิทยุเพื่อ ตรวจจับสัญญาณควบคุม (Control Signal) ที่ส่งจากรีโมทคอนโทรลของผู้บังคับโดรนไปยังตัวโดรน สัญญาณนี้มีความถี่และรูปแบบเฉพาะตัว
  2. ระบุทิศทางของแหล่งกำเนิดสัญญาณ: ด้วยการใช้เทคนิค Direction Finding (DF) หรือการหาทิศทางของสัญญาณ ระบบจะสามารถระบุทิศทางที่สัญญาณถูกส่งมาได้
  3. การระบุตำแหน่งด้วยหลายเซนเซอร์: ในการระบุตำแหน่งที่แม่นยำ ระบบจะใช้เซนเซอร์หลายตัวที่ติดตั้งในตำแหน่งที่แตกต่างกัน เมื่อเซนเซอร์แต่ละตัวรับสัญญาณและระบุทิศทางได้แล้ว ระบบจะใช้หลักการ Trilateration หรือการคำนวณจากสามเหลี่ยมเพื่อ คำนวณจุดตัดของสัญญาณ ซึ่งเป็นตำแหน่งของผู้บังคับโดรน
  4. การยืนยันและติดตาม: เมื่อระบบได้ตำแหน่งที่คาดว่าจะเป็นของผู้บังคับโดรนแล้ว จะใช้กล้องออปติคอลเพื่อทำการยืนยันตัวตน และสามารถติดตามการเคลื่อนที่ของผู้บังคับโดรนได้แบบเรียลไทม์

ประโยชน์ของระบบ Drone Locator

การใช้ระบบ Drone Locator มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อหลายภาคส่วน:

  • ความมั่นคงของชาติ: ป้องกันการใช้โดรนเพื่อสอดแนมหรือก่อวินาศกรรมในพื้นที่อ่อนไหว
  • ความปลอดภัยทางอากาศ: ตรวจจับโดรนที่บินใกล้สนามบิน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับอากาศยาน
  • การบังคับใช้กฎหมาย: ช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถระบุตัวและจับกุมผู้กระทำผิดที่ใช้โดรนในทางที่ผิดกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว
  • การจัดการพื้นที่สาธารณะ: ควบคุมการใช้โดรนในงานอีเวนต์ใหญ่ๆ หรือสถานที่ชุมนุม เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

เทคโนโลยี Drone Locator จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการกับความท้าทายที่เกิดจากการใช้โดรนอย่างไม่เหมาะสม ทำให้สามารถควบคุมและรักษาความปลอดภัยของน่านฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กฎหมายการบินโดรน

กฎหมายเกี่ยวกับการบินโดรน

กฎหมายการบินโดรน และข้อบังคับทั่วไปเกี่ยวกับการบินโดรนในประเทศไทย เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยตามกฎหมายการบินโดรนกำหนด

เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง กรมการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้ออกประกาศห้ามบินโดรนทุกประเภททั่วประเทศเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2568 หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม บทความนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายและข้อบังคับทั่วไปในการบินโดรนในประเทศไทยเมื่อไม่มีการประกาศห้ามบินเป็นการชั่วคราว เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้ใช้งาน

กฎหมายและข้อบังคับทั่วไปเกี่ยวกับการบินโดรนในประเทศไทย

การบินโดรนในประเทศไทย นั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานหลัก 2 แห่ง คือ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) และ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ผู้ใช้งานโดรนทุกคนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยและป้องกันการละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น

1. การขึ้นทะเบียนโดรน

โดรนบางประเภทจำเป็นต้องได้รับการขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนนำไปใช้งาน

  • โดรนที่ต้องขึ้นทะเบียน:
    • โดรนที่มีการติดตั้งกล้องบันทึกภาพทุกกรณี
    • โดรนที่มีน้ำหนักเกิน 2 กิโลกรัม แต่ไม่เกิน 25 กิโลกรัม
    • โดรนที่มีน้ำหนักเกิน 25 กิโลกรัมขึ้นไป จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
  • หน่วยงานที่รับผิดชอบการขึ้นทะเบียน:
    • กสทช.: รับผิดชอบการขึ้นทะเบียนเครื่องวิทยุคมนาคมที่ใช้ควบคุมโดรน
    • กพท.: รับผิดชอบการขึ้นทะเบียนผู้บังคับหรือผู้ปล่อยอากาศยานไร้คนขับ
  • สิ่งที่ต้องมีประกอบการขึ้นทะเบียน:
    • ทำประกันภัยความรับผิดชอบต่อบุคคลที่สาม (Third Party Liability) โดยมีวงเงินคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท
    • เอกสารส่วนตัว เช่น สำเนาบัตรประชาชน
    • รายละเอียดของโดรน เช่น Serial Number และรูปถ่าย

2. ข้อกำหนดและข้อปฏิบัติในการบิน

เมื่อโดรนได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องแล้ว ผู้บังคับโดรนจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบในการบินอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยและไม่รบกวนผู้อื่น

  • ความสูงในการบิน: ห้ามบินโดรนเกินกว่า 90 เมตร (300 ฟุต) เหนือพื้นดิน
  • พื้นที่ห้ามบิน:
    • เขตห้ามบินเด็ดขาด: บริเวณพระราชวังและพื้นที่พระราชฐาน, สถานที่ราชการสำคัญ, หน่วยงานด้านความมั่นคง และเรือนจำ
    • เขตต้องขออนุญาต: บริเวณสนามบินและพื้นที่โดยรอบ (รัศมี 9 กิโลเมตร), พื้นที่ราชการทั่วไป, แหล่งโบราณสถาน, และอุทยานแห่งชาติ
  • ข้อปฏิบัติทั่วไป:
    • ห้ามบินในพื้นที่ชุมชนหนาแน่น หรือพื้นที่ที่มีคนมาชุมนุม
    • ห้ามบินเข้าใกล้อาคาร, บุคคล, หรือยานพาหนะของผู้อื่นในระยะน้อยกว่า 30 เมตร
    • ห้ามบินละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น
    • ผู้บังคับโดรนต้องสามารถมองเห็นตัวโดรนได้ตลอดเวลาที่ทำการบิน
    • ห้ามทำการบินในสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย
    • ห้ามติดตั้งอุปกรณ์ที่อาจเป็นอันตราย หรืออุปกรณ์ปล่อยแสงเลเซอร์

3. บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน

ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายการบินโดรนอาจได้รับโทษทางกฎหมายที่รุนแรง

  • การบินโดรนโดยไม่จดทะเบียน: มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ตามพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497)
  • การบินในพื้นที่หวงห้ามหรือละเมิดความมั่นคง: อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอาญา ซึ่งในบางกรณีที่มีเจตนาร้ายแรงอาจมีโทษถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต
  • การละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล: ผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้

การทำความเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ใช้งานโดรนทุกคน เพื่อให้สามารถใช้โดรนได้อย่างปลอดภัย ถูกต้อง และไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นและส่วนรวม


นอกจากนี้ การบินโดรนในประเทศไทย ยังมีกฎหมายและข้อบังคับที่กำหนดโดยสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ซึ่งรวมถึงข้อกำหนดในการขึ้นทะเบียนโดรนและข้อจำกัดในการบินในพื้นที่และระดับความสูงที่กำหนด เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย

คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมายการบินโดรนได้ที่นี่ กฎหมายเกี่ยวกับการบินโดรน

วิดีโอนี้จาก YouTube ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายและข้อบังคับในการบินโดรนในประเทศไทย ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้โดรนอย่างไม่ถูกต้อง

กฎหมายการบินโดรน

กฎหมายการบินโดรน

กฎหมายการบินโดรนในประเทศไทย

กฎหมายการบินโดรน หรือ อากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle: UAV) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งในเชิงสันทนาการ การถ่ายภาพมุมสูง และการใช้งานเชิงพาณิชย์ในด้านต่าง ๆ เช่น การสำรวจ การเกษตร หรือการขนส่ง อย่างไรก็ตาม การใช้งานโดรนก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะ ความเป็นส่วนตัว และความมั่นคงของประเทศ ดังนั้นจึงมีการออกกฎหมายและข้อบังคับเพื่อควบคุมการบินโดรนอย่างเป็นระบบ

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบินโดรนในประเทศไทย

กฎหมายหลักที่ควบคุมการบินโดรนในประเทศไทยคือ พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 และระเบียบที่ออกโดย สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ Civil Aviation Authority of Thailand (CAAT) โดยสรุปได้ดังนี้

1. การลงทะเบียนโดรน

  • โดรนที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2 กิโลกรัมขึ้นไป: ต้องทำการลงทะเบียนกับ กพท. หรือสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) แล้วแต่กรณี
  • โดรนที่มีน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม: ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียน
  • การลงทะเบียน: ผู้ครอบครองโดรนจะต้องยื่นเอกสารเพื่อขออนุญาตครอบครองและขึ้นทะเบียนโดรน โดยจะได้รับใบอนุญาตและหมายเลขทะเบียนสำหรับโดรนแต่ละลำ

2. คุณสมบัติของผู้บังคับโดรน

  • ผู้บังคับโดรนต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์
  • ผู้บังคับโดรนที่มีน้ำหนักโดรนตั้งแต่ 2 กิโลกรัมขึ้นไป ต้องมีใบอนุญาตนักบินหรือใบรับรองการฝึกอบรมที่ออกโดยสถาบันที่ กพท. รับรอง
  • ห้ามทำการบินโดรนในขณะมึนเมาสุราหรือของมึนเมาอื่น ๆ

3. เขตห้ามบินและข้อจำกัดการบิน

  • เขตห้ามบินโดยเด็ดขาด (No-Fly Zone):
    • บริเวณใกล้สนามบิน (ระยะ 9 กิโลเมตรจากสนามบิน)
    • เขตพระราชฐาน
    • สถานที่ราชการสำคัญ เช่น ทำเนียบรัฐบาล
    • สถานที่สำคัญทางศาสนา
    • โรงพยาบาลและสถานพยาบาล
    • บริเวณที่มีผู้คนอยู่หนาแน่น เช่น งานคอนเสิร์ต งานเทศกาล หรือการชุมนุม
  • การบินในเขตเมือง: ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของสถานที่หรือผู้ดูแล
  • ความสูงในการบิน: ไม่เกิน 90 เมตร (ประมาณ 300 ฟุต) จากพื้นดิน
  • การบินในเวลากลางคืน: ต้องได้รับอนุญาตจาก กพท. และต้องติดไฟสัญญาณที่มองเห็นได้ชัดเจน

4. การประกันภัย

  • โดรนที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2 กิโลกรัมขึ้นไป: ต้องมีกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (Third Party Liability) โดยมีวงเงินความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท

5. บทลงโทษ

ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการบินโดรน อาจได้รับโทษทั้งจำคุกและปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของการกระทำผิด เช่น:

  • การบินโดรนโดยไม่ได้รับอนุญาตในเขตห้ามบิน: มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • การบินโดรนโดยไม่ลงทะเบียน: มีโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท
  • การไม่จัดทำประกันภัย: มีโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท

สรุป

การใช้งานโดรนในประเทศไทยนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายที่เข้มงวด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่สาธารณะ ผู้ใช้งานโดรนทุกคนจึงควรศึกษาและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูลสรุปและอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนการใช้งานโดรนทุกครั้ง